คอลัมน์ “ซอกแซก” วันอาทิตย์เป็นคอลัมน์ที่ออกแบบไว้ให้เป็นคอลัมน์แห่งความสุข ความสนุกสนาน ความรื่นรมย์สำราญ และความเบิกบานในหัวใจ ฯลฯ เมื่ออ่านจบลง
เป็นคอลัมน์ที่เปิดกว้างไว้สำหรับความสุข ในทุกๆ ด้าน…อะไรที่อ่านแล้วทำให้ผู้อ่านเกิดความสุขและความสนุก เราจะซอกแซกไปดู ไปชม ไปสัมผัส ไปสัมภาษณ์ ไปพูดคุย…เพื่อที่จะนำมาถ่ายทอดสู่กันอ่านสัปดาห์ละครั้ง
เรื่องอะไรที่เป็นความทุกข์…เป็นความ ขัดแย้งอ่านแล้วเศร้าหมอง…ขุ่นใจ…จุกจิกใจ… รำคาญใจ เราจะเก็บไว้เขียนในคอลัมน์วันธรรมดาๆ ซึ่งได้เปิดไว้แล้วถึง 5 วันเต็มๆ ในแต่ละสัปดาห์… โดยจะไม่นำมาเขียนกวนใจท่านผู้อ่านในวันอาทิตย์เด็ดขาด
รวมทั้งสัปดาห์นี้…ทีมงานซอกแซกขอนำท่านผู้อ่านไปยัง สถานที่ อันยิ่งใหญ่และงดงาม ซึ่งเป็นความภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ สถานที่หนึ่ง
หลายท่านเคยไปเยือนมาแล้ว ไปกราบไหว้ บูชา ไปทัศนศึกษา หรือไปเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ กันมาแล้ว
วันนี้เราจะลองไปสำรวจมุมมองของคนชาติอื่นดูบ้าง ว่าเขามองและมีทัศนะอย่างไรบ้างต่อสถานที่อันเป็น “ศูนย์รวมใจ” และความภูมิใจของคนไทยที่ทีมงานซอกแซกจะเขียนถึงต่อไปนี้
ขอเชิญอ่านได้เลยครับ เรื่องราวของ “พระบรมมหาราชวัง” หรือ “The Grand Palace” ของคนไทยเรานั่นเอง
เมื่อ 5–6 ปีที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวคราวระดับโลกคงจะพอจำได้…สำนักข่าว CNN อันโด่งดังของสหรัฐฯ โดยฝ่ายข่าวท่องเที่ยว ได้ออกมาประกาศจัดอันดับ “พระราชวัง” ที่มีผู้ไปเยี่ยมเยียนมากที่สุดของโลก รวม 10 อันดับ… นำความปลาบปลื้มมาสู่คนไทยทั้งประเทศ
เนื่องเพราะ “พระบรมมหาราชวัง” หรือ “The Grand Palace” ของประเทศไทยเราติดอยู่ในอันดับ 3 เลยทีเดียว
อันดับ 1 ได้แก่ พระราชวังต้องห้าม แห่งกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีผู้ไปเยี่ยมชมเฉลี่ยปีละ 15 ล้านคน อันดับ 2 ได้แก่ พระราชวัง ลูฟร์ หรือ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ “The Louvre” แห่งกรุงปารีส มีผู้เยี่ยมชมปีละ 9 ล้าน 3 แสนคน
แล้วก็มาถึง อันดับ 3 The Grand Palace, Bangkok หรือพระบรมมหาราชวัง แห่งกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย มีผู้เข้าเยี่ยมชมเฉลี่ยปีละกว่า 8 ล้านคน…เฉือน อันดับ 4 อันได้แก่ พระราชวังแวร์ซาย ของฝรั่งเศส ซึ่งมีผู้เข้าเยี่ยมชมปีละ 7 ล้าน 5 แสนคนไปอย่างหวุดหวิด
ไม่เพียงแต่ CNN เท่านั้นที่ไปสรรหาตัวเลขเพื่อมายกย่อง พระบรมมหาราชวัง ของประชาชนชาวไทยว่ามีความสวยงาม อลังการ ยิ่งใหญ่ และมีอายุยืนยาวมากว่า 200 ปี จนเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลกจนถึงขนาดเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นอันดับ 3 ของโลกดังกล่าวข้างต้น
หากเข้าไปดูในนิตยสาร หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆ ที่มีการจัดอันดับพระราชวังที่ “สวยงาม” ที่สุดของโลก ก็จะพบเช่นกันว่า พระบรมมหาราชวัง หรือ The Grand Palace ของเราติดอยู่ในอันดับสูงๆ ของหลายต่อหลายนิตยสารและเว็บไซต์เหล่านั้น
นิตยสาร Spear หรือ www.spearswms.com จัดให้ พระบรมมหาราชวัง อยู่ในอันดับที่ 2 ในแง่ความงดงาม รองจาก พระราชวังเครมลิน ของรัสเซีย และเหนือกว่าพระราชวังแวร์ซาย 1 อันดับ
เว็บท่องเที่ยว www.veranda.com ยกให้ The Grand Palace in Bangkok เป็นอันดับ 1 ตามด้วย พระราชวัง เอล บาดี ของโมร็อกโก และอันดับ 3 พระราชวังแห่งสายลม หรือ Hawa Mahal in Jaipur ของอินเดียที่เป็นสีชมพูแทบทั้งหลัง
เว็บท่องเที่ยวโด่งดังมากอีกเว็บหนึ่ง ได้แก่ www.touropia.com ประกาศอันดับพระราชวังสวยที่สุดของโลก 15 แห่ง ยกให้ พระราชวังต้องห้าม ของจีนเป็นอันดับ 1 นึกว่าจะไม่มีของเราเสียแล้ว แต่ในที่สุดก็อยู่อันดับที่ 15
หรืออย่างนิตยสาร Escape ที่นิยมพระราชวังที่ยุโรปเป็นส่วนใหญ่ ยกให้พระราชวังบั๊กกิ้งแฮมของอังกฤษ เป็นอันดับ 1…นึกว่าจะลืมของเรา ปรากฏว่าเขาให้อยู่อันดับ 23 ชนะอันดับ 24 พระราชวังต้องห้าม ของจีน จากทั้งหมด 28 อันดับที่เขาจัดไว้
ครับ! ก็เป็นตัวอย่างแห่งความภาคภูมิใจและปลาบปลื้มเป็นล้นพ้นที่พระบรมมหาราชวังของเรา ได้รับการยกย่องชื่นชมจากสื่อสำคัญๆ ทั่วโลกเช่นนี้
ทำให้พระบรมมหาราชวังมิใช่เป็นเพียงสมบัติหรือทรัพย์สินของชนชาติไทยเราเท่านั้น แต่เป็นสมบัติหรือทรัพย์สินอันทรงคุณค่าของโลกที่ชาวโลกอยากจะมาดูมาชมมาสัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิต
มองอีกมุมหนึ่งจึงเท่ากับเป็น “ขุมทรัพย์” ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงประเทศไทยเราไปอีกนานแสนนานดุจ “บ่อน้ำมัน” บ่อใหญ่ที่จะมีน้ำมันพุ่งไหลออกมาทำรายได้ให้แก่ประเทศอย่างไม่สิ้นสุดในอนาคตอันยาวไกลข้างหน้า
อันหมายถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่จะจูงใจให้ผู้คนทั่วโลกมาดูมาชมและนำรายได้ มาใช้จ่ายในประเทศไทยเปรียบประดุจ “บ่อน้ำมัน” ที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศหลายๆ ประเทศ ในตะวันออกกลางนั่นเอง
พระบรมมหาราชวังจึงเป็นทั้งสถานที่ “ศักดิ์สิทธิ์” ที่คนไทยเคารพบูชา และยึดเหนี่ยวจิตใจ ควบคู่ไปกับการสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนไทยกลุ่มใหญ่ของประเทศในธุรกิจท่องเที่ยวอีกด้วย
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะ พระบรมราชจักรีวงศ์ นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1 สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มาจนถึง รัชกาลปัจจุบัน ที่ทรงให้กำเนิด, สร้างสรรค์, ต่อเติมและพัฒนาจนพระบรมมหาราชวังของประเทศไทยเป็นสมบัติอันทรงคุณค่าเลืองชื่อระบือไกลทั่วโลกดังตัวอย่างที่ทีมงานซอกแซกนำมารายงานไว้ข้างต้น
พระบรมมหาราชวังของเราจึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ทางประวัติศาสตร์ และทาง ปัญญาที่คนไทยทุกคนจะต้องช่วยกันปกปัก และรักษา ไว้ให้อยู่ยั้งยืนยงเคียงคู่ประเทศไทยไปตราบกาลนิรันดร์.
“ซูม”