ฝากไปถึง “บิ๊ก” เมียนมา เป็นลูกป๋าต้องเอาอย่างป๋า

ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับเหตุการณ์ยึดอำนาจที่เมียนมาผ่านมา 2 วันจะเข้าวันที่ 3 แล้ว ยังไม่มีข่าวอะไรที่ร้ายแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก หรือมีการเสียชีวิตตามมา

การประท้วงของชาวเมียนมาเองแม้จะเริ่มมีมากขึ้น แต่ก็อยู่ในความสงบ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อคืนก่อนมีการตีเกราะเคาะกะละมัง เคาะกระทะ เคาะกระป๋อง ผสมกับเสียงบีบแตรรถยนต์ดังสนั่นไปทั่วเมืองย่างกุ้ง

ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวพม่ายึดถือและปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เวลาจะขับไล่ภูตผีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายออกจากเมืองหรือหมู่บ้าน ชาวบ้านจะช่วยกันเคาะกะละมัง เคาะถัง หรืออะไรก็ได้ที่เคาะแล้วมีเสียงดัง

สำนักข่าวต่างประเทศสรุปด้วยว่า การเคาะกะละมังและบีบแตรถือเป็นสัญลักษณ์ของการ “ขับไล่” คณะทหารที่ยึดอำนาจนั่นเอง

ผมอ่านข่าวนี้แล้วก็นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ประเพณีหลายๆ อย่างในภูมิภาคแหลมทองนี้จะคล้ายๆ กัน อย่างลอยกระทงก็มีทั้งไทย ทั้งกัมพูชา ทั้งเมียนมา

หรืออย่างสงกรานต์ก็มีในทั้งไทยทั้งเมียนมา ทั้งกัมพูชา และลาว

จึงไม่แปลกอะไรที่ประเพณีขับไล่ปีศาจด้วยการตีเกราะเคาะกะละมัง เคาะถ้วยชามของพม่าจะมาคล้ายๆกับประเพณีตีเกราะเคาะกะละมังไล่ราหูไม่ให้อมจันทร์ของบ้านเรา

“ราหูอมจันทร์” คนไทยโบราณเชื่อว่าจะมีสิ่งร้ายๆ เกิดขึ้น จึงต้องเคาะเกราะเคาะฆ้องขับไล่ให้คลายเร็วๆ ว่างั้นเถอะ

คงต้องรอดูต่อไปครับว่าการประท้วงของชาวเมียนมาที่เรียกร้องประชาธิปไตยนั้นจะเดินหน้าไปอย่างไร และจะไปสู่เหตุการณ์ที่รุนแรงหรือไม่?

ในฐานะเพื่อนร่วมอาเซียน และเพื่อนร่วมแหลมทองที่มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกันมายาวนาน ผมก็หวังว่าจะไม่แรงอย่างที่เคยแรงนะครับ

เพราะที่พม่าเวลาแรงจะแรงมาก สูญเสียทั้งเลือดเนื้อและชีวิตครั้งละมากๆ อยู่เสมอ…อย่างเมื่อปี 1988 หรือ พ.ศ.2531 ที่มีการปฏิวัติและประชาชนออกมาประท้วงเป็นเรือนแสนทั่วประเทศนั้นลงเอยด้วยการปราบอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และถูกจับกุมจำนวนมาก

สถิติอย่างเป็นทางการบอกว่าไม่กี่ร้อยศพ แต่สถิติอย่างไม่เป็นทางการใช้คำว่าเสียชีวิตร่วมหมื่นศพ อ่านรายงานแล้วก็สะดุ้ง

ผมถึงได้ภาวนาขอให้เหตุการณ์ที่เมียนมาใน พ.ศ.นี้ จงอย่าผันแปรไปในทางร้ายแรงเหมือนในอดีต…และเห็นด้วยกับจุดยืนของอาเซียน ที่แถลงไว้วันก่อนว่าอยากให้ปรองดองและตกลงกันด้วยสันติวิธี

มาคิดอีกทีผมก็เบาใจลงบ้างเมื่อมีข่าวว่า พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผบ.สส.ของฝ่ายทหารพม่า ท่านเคยมาเมืองไทยบ่อยและเข้าพบ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ปูชนียบุคคลของเราอยู่บ่อยๆ

ถึงขั้นฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรมป๋าเปรม และเมื่อครั้งที่มาคารวะศพป๋าเปรม ก็เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่าป๋าเปรมสอนไว้หลายอย่างเช่นในประเด็นประชาธิปไตย ป๋าเปรมสอนว่าต้องเป็นประชาธิปไตยของประเทศตนเอง หรือประเทศใครประเทศคนนั้น ให้เหมาะสมกับประเทศตนเอง

หรือในประเด็นรักชาติรักบ้านเกิด ป๋าเปรมก็สอนไว้ว่า เราเกิดในแผ่นดินไหน เราต้องตอบแทนคุณแผ่นดินนั้น ถ้าใครไม่ตอบแทนคุณแผ่นดิน คนนั้นถือว่าเป็นคนทรยศต่อชาติ

ถ้าบิ๊ก มิน อ่อง หล่าย รักป๋าดุจบิดาจริงๆก็ต้องรู้ถึงประวัติของป๋าเป็นอย่างดีว่าป๋าเป็นนายทหารที่รอมชอมและปรองดอง ไม่ใช่นายทหารสายดุ

เพราะป๋านี่แหละที่เป็นคนออกคำสั่ง 66/23 ใช้การเมืองนำหน้าการทหาร และเปิดโอกาสให้ผู้หลงผิดเข้าป่าเป็น ผกค.ทั้งหลายได้รับนิรโทษกรรมให้มาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เมื่อปี 2523
สามารถสลายผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยได้ทันตาเห็น

ก็เรียนฝาก บิ๊กมิน อ่อง หล่าย ไว้ด้วยความเคารพ ใครรู้ภาษาเมียนมาช่วยแปลส่งไปให้ท่านด้วยเถอะ

เป็นลูกป๋า (เปรม) จริงๆต้องเอาอย่างป๋า (เปรม) ด้วยนะครับ

ห้ามทำอะไรรุนแรงฝ่ายการเมืองเป็นอันขาด และถ้าเป็นไปได้ให้ใช้วิธีปรองดองแบบป๋านั่นละ…และก็อย่างที่ผมเสนอไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้…ถ้าจัดให้มีเลือกตั้งใหม่ได้ก่อน 1 ปี ก็จะดีที่สุดครับ บิ๊กมิน!

“ซูม”

ข่าว, ยึดอำนาจ, รัฐประหาร, เมียนมา, รัฐธรรมนูญ, อาเซียน, ประชาธิปไตย, เศรษฐกิจ, ซูมซอกแซก