โกง “เที่ยวด้วยกัน” : “อุปนิสัย” หรือ “เดือดร้อน”?

ข่าวตำรวจกองปราบฯออกกวาดล้างการทุจริตโครงการ “เที่ยวด้วยกัน” ของรัฐบาล โดยมีการจับกุมโรงแรมกว่า 400 แห่ง ร้านอาหารและร้านค้ากว่า 400 แห่ง รวมทั้งประชาชนที่ให้ความร่วมมืออีก 9,000 ราย ทั่วประเทศ เมื่อ 2 วันก่อน ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

ข้อแคลงใจของผมก็คือ…การที่โรงแรมและร้านอาหารร้านค้า บวกกับประชาชนจำนวนมากที่ร่วมมือกันสร้างหลักฐานเท็จ เบิกเงินไปจากกระทรวงการคลังครั้งนี้ จนกลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมานั้น…

เป็นเพราะ “อุปนิสัยใหม่” ซึ่งเคยมีนักวิชาการตั้งข้อสังเกตว่า คนไทยมีแนวโน้มที่จะกระทำการทุจริตมากขึ้น ไม่ซื่อสัตย์มากขึ้นในหลายๆ ภาคส่วนของประเทศไทย ไม่เฉพาะแต่ภาคราชการเท่านั้น

หรือว่าเป็นเพราะ โควิด–19 ที่ทำให้เศรษฐกิจทรุดลงทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเราด้วย นำความเดือดร้อนมาสู่ผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภท โดยเฉพาะที่สาหัสมากก็คือ โรงแรมและร้านอาหารต่างๆ นั่นเอง?

ผมอยากให้คำตอบออกมาเป็นข้อหลังน่ะครับ เพราะถ้าในข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าของโรงแรมหรือร้านค้า หรือประชาชนที่ไปร่วมมือล้วนเดือดร้อนอย่างสาหัส จึงต้องกระทำเช่นนี้ แม้โดยหลักกฎหมายจะอภัยให้มิได้ จะต้องถูกดำเนินคดีไปตามกรรมที่ก่อ…แต่อย่างน้อยก็ยังได้รับความเห็นใจจากสังคมอยู่บ้าง

เพราะคนเราเมื่อเดือดร้อน เมื่อเสียหาย เมื่อจะล้มละลาย เมื่อจะไม่มีกิน ก็ย่อมจะเกิดสัญชาตญาณเอาตัวรอด ทำให้ตัดสินใจคดโกงขึ้นดังกล่าว โดยที่ตัวเองมิใช่คนคดโกงมาก่อนเลย

ผมเองนอกจากจะเห็นใจผู้กระทำผิดแล้ว ก็ยังรู้สึกสบายใจขึ้นมาอักโข เพราะหากสาเหตุแห่งการโกงรัฐคราวนี้ เป็นเพราะความเดือดร้อน ก็จะเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น

เนื่องจากความเสียหายด้วยโรคระบาดร้ายแรงเช่นโควิด-19 นั้น มิใช่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ อาจจะ 50 ปี หรือ 100 ปี จึงจะเกิดสักครั้งหนึ่ง

หากโลกเราและประเทศไทยของเรา ไม่มีอะไรร้ายแรงเช่นนี้อีก ความเสียหายใหญ่หลวงทางเศรษฐกิจก็จะไม่เกิดขึ้น นักธุรกิจก็จะไม่เดือดร้อน ประชาชนก็จะไม่ตกงาน และไม่มีจะกิน

ความจำเป็นที่จะต้องไปโกงรัฐ เอาเปรียบรัฐ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา ดังเช่นที่กระทำครั้งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

ในทางตรงข้ามหากคำตอบออกมาเป็นข้อแรก คือเป็นเพราะ “อุปนิสัยใหม่” ที่กล่าวกันว่าการทุจริตคิดมิชอบต่างๆ ได้ระบาดออกไปอย่างกว้างขวางไม่เฉพาะข้าราชการเท่านั้น ยังไปสู่ภาคเอกชนและประชาชนอีกด้วย ผมจะรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาทันที

ผมเคยเข้าประชุมสัมมนาเรื่องปัญหาทุจริตคอร์รัปชันเมื่อสัก 5-6 ปีก่อน ได้ฟังผู้อภิปรายบางท่านแสดงความห่วงใยปัญหาความไม่ซื่อสัตย์สุจริตในประเทศไทยแล้ว ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ท่านบอกว่า การทุจริตในบ้านเราระยะหลังๆ เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในภาคเอกชนมีมากอย่างเหลือเชื่อ เพียงแต่เมื่อเขาจับได้ไล่ทันก็ไล่ออกกันไปเป็นการภายใน ไม่เป็นข่าวเหมือนทางราชการ

เว้นแต่นานๆ ครั้ง เมื่อมีการฉ้อโกงใหญ่วงเงินมากๆ จึงจะเป็นข่าวใหญ่สักครั้งหนึ่ง

ส่วนภาคประชาชนนั้น นักวิชาการเขาไม่ถึงกับกล่าวหาโดยตรง แต่ก็บอกว่าควรจับตาดูไว้เหมือนกัน

เพราะคนไทยมักให้ความร่วมมือกับผู้ทุจริต เช่น การยอมรับเงินซื้อเสียงจากนักการเมืองบางกลุ่มแล้วก็เลือกนักการเมืองเหล่านั้นเข้ามา เท่ากับเป็นการสนับสนุนนักการเมืองให้ทุจริตต่อไปเรื่อยๆ…

ผมฟังแล้วก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ และไม่คิดว่าคนไทยเราจะมี “อุปนิสัยใหม่” อย่างที่เขาว่าแต่อย่างใดทั้งสิ้น

แต่พอเห็นตัวเลขการโกงโครงการ “เที่ยวด้วยกัน” คราวนี้ผมก็ใจฝ่อไปพอสมควร เพราะผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเป็น “ภาคเอกชน” และ “ประชาชน” ล้วนๆ เฉียดๆ หมื่นคน

ผมถึงได้บอกว่า อยากให้คำตอบออกมาเป็นข้อ 2 คือ ความเดือดร้อน จากพิษโควิด-19 เพราะนานๆ จะมีโรคระบาดใหญ่แบบนี้เสียทีหนึ่ง ถือเป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว เกิดแล้วก็จบกันไป

แต่ถ้าเป็นคำตอบแรกที่บอกว่าคนไทยมีอุปนิสัยที่จะไม่ซื่อสัตย์สุจริตมากขึ้นละก็…เป็นปัญหาใหญ่ของชาติเชียวนะครับ

ลำพังข้าราชการทุจริตกลุ่มเดียวก็หนักหนาอยู่แล้ว…นี่ภาคเอกชนทุจริตด้วย แถมมีประชาชนจำนวนมากให้การสนับสนุน…จะไปรอดไหมเนี่ย ไทยแลนด์?

“ซูม”

ตำรวจ, โครงการ, เที่ยวด้วยกัน, ทุจริต, ข้าราชการ, โควิด 19, ร้านอาหาร, ประชาชน, เอกชน, ซูมซอกแซก