อยากให้เหตุการณ์วันนี้ จบเหมือน “รามเกียรติ์”

ทุกครั้งที่คนไทยเราแบ่งออกเป็นฝักฝ่าย ยกพวกทะเลาะกันทางการเมือง จนถึงขั้นเกิดการเผชิญหน้าและพร้อมจะระเบิดความรุนแรง หยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้กันคราใด…ผมจะนึกถึงเรื่องราวตอนหนึ่งของวรรณคดีไทย เรื่อง “รามเกียรติ์” อยู่เสมอ

ผมอ่านวรรณคดีเรื่องนี้ตั้งแต่อยู่มัธยมต้น อ่านอย่างทรหดอดทนไปจนถึงตอนพระรามได้นางสีดาคืนมาจากทศกัณฐ์แล้ว…แต่วันหนึ่งเกิดระแวงนางสีดา เพราะไม่แน่ใจว่าไปอยู่ลงกาเสียนาน จะปันใจอะไรให้ทศกัณฐ์บ้างหรือเปล่า

ระแวงถึงขนาดให้พระลักษมณ์นำไปประหาร แต่พระลักษมณ์กลับปล่อยสีดาไปอยู่กับพระฤาษี พร้อมกับบุตรในครรภ์ที่เกิดจากพระราม

ต่อมานางสีดาก็คลอด พระมงกุฎ ออกมา และได้รับการฝึกวิทยายุทธจากพระฤาษีจนแก่กล้า สามารถแผลงศรได้ไม่แพ้พระรามเลยทีเดียว

จากนั้นก็มีเหตุให้พระรามกับพระมงกุฎต้องมาเผชิญหน้ากัน และต้องสู้รบแผลงศรมุ่งหมายประหัตประหารกัน

ทว่า ศรพระรามนอกจากไม่ทำร้ายพระมงกุฎแล้ว ยังกลายเป็น “อาหารทิพย์” ให้รับประทานเสียอีก ในขณะที่ศร พระมงกุฎ ก็เช่นกัน นอกจากไม่ทำอันตรายแก่พระรามแล้ว ก็กลายเป็น ข้าวตอก ดอกไม้ แสดงความคารวะต่อพระรามไปอย่างคาดไม่ถึง

ทั้ง 2 ฝ่าย จึงหันมาเจรจากันถามไถ่ชื่อสกุล ซึ่งกันและกันในที่สุดก็ทราบว่า เป็นพ่อลูกกัน เรื่องราวจึงจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง พ่อลูกได้พบกันในที่สุด

ผมยังเด็กมาก อายุ 13-14 ปีเท่านั้น ในช่วงที่อ่านรามเกียรติ์ตอนนี้…อ่านแล้วก็ฝังใจ จนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น ก็จะนึกถึงทุกครั้ง เมื่อเวลาบ้านเรามีเหตุการณ์เผชิญหน้ากัน ดังที่กล่าวไว้แล้วตอนต้น

เคยหยิบมาเป็น “มุก” ในการเขียนวิงวอนขอร้องให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน อย่ายิงอย่าแผลงศรใส่กันเลย ก็หลายครั้งในคอลัมน์นี้ (เพราะคนไทยทะเลาะกันบ่อยมาก)

แม้ผมจะตระหนักดีว่า ในความเป็นจริงเป็นไปได้หรอกครับที่การแผลงศรจะไม่ทำร้ายต่อกัน เพราะศรยุคใหม่อันได้แก่ ปืนและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ล้วนทรงอานุภาพในการทำลายล้างทั้งสิ้น

แต่ผมก็อดที่จะภาวนาเสียมิได้ว่า ขอให้เป็นอย่างวรรณคดีไทยเรื่องนี้เถิด เพราะผู้ที่เผชิญหน้ากัน แม้จะไม่ใช่พ่อกับลูก แต่ก็เป็นพี่กับน้อง เป็นสายเลือดเดียวกัน เป็นคนไทยด้วยกัน

ผมทั้งภาวนาทั้งแอบหวังเช่นนี้มาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยสมหวังหรอกครับ เพราะพี่ๆ น้องๆ ที่ออกอาวุธใส่กันนั้นมักจะจบลงด้วยการเสียชีวิต และการบาดเจ็บอยู่เสมอ

ในยุค 14 ตุลาคมก็ถือว่ามากพอสมควร…ยุค 6 ตุลาคมก็มากและโหดร้ายด้วย…ยุคพฤษภาทมิฬก็หลายอยู่ แต่จบด้วยพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงรับสั่งให้ผู้นำทั้ง 2 กลุ่มเข้าเฝ้าและพระราชทานพระบรมราโชวาท ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง

หลังจากนั้นมาก็ยังมีการประท้วงสีเหลืองสีแดง มีบาดเจ็บล้มตายทุกครั้งไปมากบ้างน้อยบ้าง

แสดงว่าความหวังและการภาวนาของผมไม่สำเร็จ เวลาเลือดเข้าตา คนไทยเรามักจะลืมสนิทว่าเราเป็นพี่กันน้องกัน มีสายเลือดเดียวกัน

มาถึงวันนี้ประเทศไทยของเรามีเหตุการณ์อีกแล้ว และช่างเหมือนกรณี “พ่อลูก” รบกันอย่างในรามเกียรติ์มากที่สุด เพราะคู่กรณีฝ่ายหนึ่งเป็นเยาวชน เป็นเด็ก ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมักมีอายุคราวพ่อ คราวลุง

ผมก็ภาวนาอีกนั่นแหละ ขอให้ “ศร” ของทั้ง 2 ฝ่าย จงเปรียบเหมือน “ศรพระราม” กับ “ศรพระมงกุฎ” ด้วยเถิด อย่ามีอันตรายเลย

ที่ผ่านมายังไม่มีอันตราย เพราะต่างฝ่ายต่างอดทน อดกลั้น แต่ต่อไปผมไม่แน่ใจ เนื่องจากมีกลุ่มต่างๆ มาเพิ่มอีกมาก
ต้องยอมรับว่า แม้ศรของฝ่ายลูกจะมีแค่ “ลมปาก” กับ “มือถือ” แต่ก็รุนแรงและท้าทายเหลือเกิน

ในขณะที่ศรของฝ่ายพ่อ ฝ่ายพี่นั้นมีอิทธิฤทธิ์แน่นอน อดทน อดกลั้นไม่อยู่เมื่อไร แผลงออกมาจะสร้างความเสียหายอย่างมาก

จึงขอให้อดทน อดกลั้นต่อไปครับ ใช้สติ ใช้ปัญญากันให้ถึงที่สุดนะครับ…“เก็บศร” ของทั้ง 2 ฝ่ายไว้ หันมาพูดจากันด้วยดีเถิด…แม้ไม่ใช่พ่อลูกแท้ๆ ก็เหมือนแท้ๆ เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกันทุกคน.

“ซูม”

วรรณคดีไทย, รามเกียรติ์, การเมือง, พฤษภาทมิฬ, ซูมซอกแซก