“โรคใหม่” ยังไม่ทันหาย “โรคเก่า” เริ่มหวนกลับมา

ผมขอหลบเรื่องการเมืองที่กำลังเร่าร้อน และยังไม่รู้จะจบอย่างไรในขณะนี้อีกสักวันนะครับ เพราะไปอ่านเจอข่าวสำคัญที่จะมีผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชนขึ้นมาอีกข่าวหนึ่ง

ถ้าไม่รีบนำมาเขียนเตือนให้ท่านผู้อ่านรับทราบไว้ เพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ เดี๋ยวจะมีโรคภัยบางอย่างแทรกซ้อนเข้ามาทำให้เราเดือดร้อนถึงขั้นต้องเสียเวลาในการรักษาตัว หรือต้องเสียเงินรักษาตัวไปเสียเปล่าๆ

ฝุ่นพิษ PM 2.5 ไงล่ะครับ มีรายงานข่าวว่ากลับมาอีกแล้ว ทันทีที่ “ฤดูฝน” หมดสิ้นไป และ “ฤดูหนาว” กำลังจะคืบคลานเข้ามาแทน

ผมไม่ได้เปิดดูแอปของ กรมควบคุมมลพิษ ซึ่งทำหน้าที่ในการติดตามดูแลมลพิษต่างๆ ของประเทศไทยเสียนาน ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา เพราะเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า จะไม่มีปัญหาเรื่องฝุ่นพิษในช่วงฤดูฝน

พออ่านข่าวว่า มีนักวิชาการออกมาเตือนประชาชนให้ระมัดระวังปริมาณฝุ่นที่เริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆในช่วง 2-3 วันมานี้…ผมก็รีบคลิกเข้าไปดูในแอปของกรมควบคุมมลพิษทันทีทันใด

ปรากฏว่าจริงอย่างที่นักวิชาการเตือนเป๊ะเลยครับ เพราะที่แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ บ้านผมนั้น ตัวเลขชี้วัดอยู่ที่ 38 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.

ซึ่งเป็น สีเหลือง แปลว่าคุณภาพปานกลาง

แม้จะยังไม่เข้าขั้นอันตรายแต่ก็จ่ออันตรายแล้วละ เพราะถ้าขยับไปอีกนิดเดียวจะเป็น สีส้ม ซึ่งแปลว่าเริ่มมีผลกระทบบ้างแล้ว

เหตุที่ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะบริเวณบ้านผมซึ่งมีสวนสาธารณะอยู่ถึง 2 สวน ใกล้ๆ กัน โดยปกติแล้วจะเป็นสีเขียว ซึ่งแปลว่า “คุณภาพดี” หรือไม่ก็เป็นสีฟ้า หรือคุณภาพดีมากเป็นส่วนใหญ่…ได้ลดฐานะมาเป็น สีเหลือง คือ คุณภาพแค่ ปานกลาง ไปเสียแล้ว เมื่อบ่าย 2 โมง วันจันทร์ที่ผ่านมาขณะที่ผมนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้

ครั้นเมื่อเปิดดูในรายละเอียดต่อไปอีกก็พบว่า ที่ ริมถนนพระราม 3 เขตยานนาวา อยู่ที่ 52 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. ซึ่งเป็น สีส้ม และแปลความหมายได้ว่า “เริ่มมีผลกระทบ” ด้านสุขภาพอนามัยเกิดขึ้นแล้ว

แถมด้วย ริมถนนศรีนครินทร์ เขตประเวศ, ริมถนนมาเจริญ เพชรเกษม 8 เขตหนองแขม และ ต.มหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร ที่เป็น “สีส้ม” ไปแล้วเช่นกัน

ยังดีที่ไม่มี “สีแดง” ซึ่งมีผลกระทบมากเกิดขึ้นในช่วงนี้…แต่ก็คงจะเกิดขึ้นในเวลาไม่นานนัก ถ้าไม่มีฝนกลับมาตกอีก

การสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไว้จึงมีความจำเป็นอย่างที่สุด

เผอิญว่าช่วงนี้เราอยู่ในระหว่างต่อสู้กับโควิด-19 กันอยู่ และพี่น้องประชาชนต่างก็สวมหน้ากากอนามัยอยู่แล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์

แม้จะเป็นหน้ากากธรรมดาหรือส่วนมากเป็นหน้ากากผ้าด้วยซํ้า อาจจะช่วยป้องกันฝุ่นพิษ PM 2.5 ไม่ได้เต็มที่นัก

แต่ผมก็ยังเห็นว่าการสวมหน้ากากอย่างที่เราสวมกันอยู่ทุกวันนี้น่าจะมีส่วนช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง ดีกว่าไม่ได้สวมอะไรเลย

เพราะจะไปหาหน้ากาก N95 ที่ป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็คงหายากเนื่องจากเราได้จัดส่งไปให้คุณหมอ คุณพยาบาล ตามโรงพยาบาลต่างๆไว้สู้กับโควิด-19 จนทำให้ N95 ขาดตลาดดังที่ทราบกันอยู่

หากเกรงว่าจะป้องกันฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้เท่าที่ควร จะเพิ่มหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยอีกสักผืนหนึ่งเป็น 2 ผืนซ้อนกัน น่าจะช่วยป้องกันฝุ่นพิษไม่ให้เข้าสู่ปอดของเราได้ดีขึ้น

ถือเสียว่าเป็นการใช้กระสุนนัดเดียว (อาจจะ 2 นัดก็ได้ในกรณีใช้ซ้อนกัน 2 ผืน) ยิงนกได้ 2 ตัว คือนกอันตรายอย่างโควิด-19 ที่เรากำลังป้องกันกันอยู่ กับนกตัวเก่า PM 2.5 ที่กำลังจะบินกลับมาอีกครั้ง

คงต้องสวมหน้ากากอนามัยกันไปอีกพักใหญ่ๆ นะครับช่วงนี้ พร้อมกับโหลดแอปของกรมควบคุมมลพิษไว้ด้วย เพื่อคอยเช็กข้อมูลฝุ่นพิษอยู่ตลอดเวลาก่อนออกจากบ้าน

ถ้าเป็นสีฟ้าหรือสีเขียว ซึ่งแปลว่าดีมากและดี เราก็สวมหน้ากากแค่ชั้นเดียว ป้องกันเฉพาะโควิด-19 เท่านั้น แต่ถ้าท่านบอกว่านาทีนี้ ชั่วโมงนี้ รอบๆตัวเราเป็น สีส้ม หรือ สีแดง จะได้สวม 2 ชั้น หรือ 3 ชั้นซะเลย

ฝากไปถึงผู้ชุมนุมทุกกลุ่มด้วยว่า เรากำลังเจอ 2 ปัญหาคือโควิด-19 กับ PM 2.5 พร้อมกันครับ อย่าลืมสวมหน้ากากด้วยนะครับ ก่อนเข้าร่วมการชุมนุมวันนี้.

“ซูม”

สุขภาพ, โควิด 19, PM 2.5, หน้ากากอนามัย, ซูมซอกแซก