นับตั้งแต่เวลา 9 โมงครึ่งของวันนี้ (26 ต.ค.) เป็นต้นไป จนถึงเวลา 4 ทุ่ม หรือ 22.00 น. ต่อด้วยพรุ่งนี้ (27 ต.ค.) อีก 1 วัน จะมีการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศ
การอภิปรายจะเป็นไปอย่างไร? จะนำไปสู่บทสรุปที่สามารถเป็นทางออกของประเทศได้แค่ไหน? คงต้องติดตามกันต่อไปครับ
ผมน่ะเอาใจช่วยเต็มที่อยู่แล้ว เพราะอยากเห็นความขัดแย้งอันใหญ่หลวงที่ยืดเยื้อมานานพอสมควร และส่อเค้าว่าจะยืดต่อไปอีกนานมาก…ยุติลงได้โดยเร็ว
ประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราทุกคน จะได้ขยับเดินหน้าต่อไปได้บ้าง หลังจากที่ต้องซวดเซด้านเศรษฐกิจอย่างหนัก เพราะปัญหาโควิด-19 ที่รอการเยียวยาแก้ไขอย่างเร่งด่วน
แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักหรอกครับ เพราะดูท่าทีของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้าน ดูเหมือนจะไม่ไว้วางใจรัฐบาลแม้แต่น้อย
ยังมีความหวาดระแวงว่า การเปิดประชุมรัฐสภาวิสามัญครั้งนี้จะเป็น “กับดัก” อะไรหรือเปล่า? รัฐบาลจะมาอาศัยรัฐสภาฟอกขาวอะไรให้หรือเปล่า? ฯลฯ และ ฯลฯ
ทำให้ผมอดห่วงใยเสียมิได้ว่า ในที่สุดการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญครั้งนี้จะ “เสียของ” และ “เสียเวลา” ไปเปล่าๆ พร้อมกับความ แตกร้าวและความไม่เข้าใจกันระหว่างพรรคฝ่ายค้านกับพรรคสนับสนุนรัฐบาลและตัวรัฐบาลเองมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญกลุ่มผู้ชุมนุมก็ดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญแก่การประชุมครั้งนี้เท่าไรนัก ยังคงนัดหมายที่จะชุมนุมที่โน่นที่นี่เพื่อกดดันรัฐบาลต่อไป
โดยเฉพาะข้อเรียกร้องที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกภายใน 3 วัน หลังจากวันที่แบกใบลาใบใหญ่ไปฝากไว้ที่ทำเนียบเพื่อให้นายกฯ เซ็นลาออกนั้น บัดนี้เกินกำหนด 3 วันไปแล้ว
จะมีการนัดชุมนุมที่ไหนกันอีกก็ไม่รู้? และจะมีการเดินขบวนไปทำเนียบรัฐบาลอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้?
ประเด็นที่น่าวิตกกังวลมากขึ้น และน่าห่วงว่าจะบานปลายไปถึงขั้นเผชิญหน้ากันมากขึ้นระหว่างประชาชน 2 กลุ่ม ดูเหมือนจะใกล้เข้ามาทุกขณะ
เมื่อกลุ่มประชาชนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันเริ่มรวมตัวกันแสดงพลังออกมาบ้างแล้ว และอาจจะมากขึ้นเรื่อยๆ หากมวลชนฝ่าย “ราษฎร” ยังคงเรียกร้องในประเด็นข้อที่ 3 ต่อไป
ยังโชคดีของประเทศไทยอยู่บ้าง ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังควบคุมสติอารมณ์และจัดที่ชุมนุมคนละทิศคนละทาง โดยไม่มีการเผชิญหน้า
อาจมีบ้างที่มาเจอกันและมีการปะทะกันแบบกลุ่มย่อยอย่างที่เป็นข่าว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเผชิญหน้าแบบกลุ่มใหญ่ หรือขบวนใหญ่
ผมก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้มีการเผชิญหน้ากัน และพยายามรักษาระยะห่างกันไปเรื่อยๆ
หรือในกรณีที่หนีกันไม่พ้น แยกกันไม่ออก มาเผชิญหน้ากันบ้าง ผมก็ขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายพูดจากันด้วยดี มีเหตุมีผล และอย่าใช้อารมณ์เป็นอันขาด
โดยเฉพาะการด่าทอ การเย้ยหยัน หรือการใช้คำพูดรุนแรงต่างๆ พยายามอย่าให้เกิดขึ้น เลี่ยงได้ต้องเลี่ยงนะครับ
คนไทยเรามีจุดอ่อนอยู่ข้อหนึ่งคือ ไม่สามารถที่จะอดทนต่อคำยั่วยุ หรือคำด่าทอ และมักจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เมื่อโดนด่าทอหรือยั่วยุด้วยถ้อยคำที่รุนแรงต่างๆ
ผมขอฝากผู้ชุมนุมทุกฝ่าย ทุกกลุ่มด้วยนะครับ ขอให้ระมัดระวัง “คำพูด” คำ “ด่าทอ” คำ “ยั่วยุ” ต่างๆเอาไว้ให้มากที่สุด ในโอกาสที่จะต้องไปเผชิญหน้ากัน จะโดยเจตนาหรือโดยบังเอิญก็ตาม
เพราะคำพูดเพียงคำเดียว อาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นได้
เราต้องหาทางผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกันให้ได้…โดยที่ประเทศไทยของเราจะไม่เกิดความบอบชํ้าไปมากกว่านี้…
ขอร้องนะครับ…สำหรับชุมนุมทุกชุมนุม ไม่ว่าจะเป็น “ชุมนุมเด็ก” รุ่นลูก รุ่นหลาน หรือ “ชุมนุมกลางคน+ปลายคน” ตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นอาไปจนถึงรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ที่ก่อตัวขึ้นทั่วประเทศไทย หากวันใดวันหนึ่ง หรือโอกาสใดโอกาสหนึ่ง จะต้องมาเผชิญหน้ากัน.
“ซูม”