ได้ “รมต.เศรษฐกิจ” ครบได้เวลา “ฟื้นฟู” อย่างจริงจัง

เท่าที่ผมติดตามอ่านข่าวและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับการแต่งตั้ง คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ของสื่อต่างๆพอจะสรุปได้ว่า เสียงส่วนใหญ่ออกมาในทางบวกครับ

แม้จะไม่ถึงขั้นแสดงความชื่นชมโสมนัส หรือร้องฮ้อแร่ด! ต้อนรับ แต่ก็ไม่มีเสียงยี้ออกมารบกวนขัดจังหวะว่างั้นเถอะ

คงจะเป็นเพราะประสบการณ์ในฐานะเลขาธิการสภาพัฒน์ ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก และผ่านงานวิเคราะห์โครงการใหญ่ๆมามาก

รวมทั้งในช่วงที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตั้งแต่ช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ไปจนถึงเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ ก็สร้างผลงานเอาไว้หลายเรื่อง ไม่ต้องห่วงว่าจะทำงานไม่ได้ หรือทำงานไม่เป็น

จะมีข้อติงบ้างก็ตรงที่ว่า ท่านเป็นข้าราชการประจำมานาน อาจมีความคิดแบบราชการ ทำอะไรชักช้า อยู่แต่ในกรอบ จะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งอาจต้องการความคิดประเภทนอกกรอบ และฉับไวมากๆ…ท่านจะไหวหรือไม่?

คงต้องติดตามผลงาน และรอดูฝีมือท่าน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกันต่อไปครับ

สำหรับผมเองที่หยิบยกประเด็นนี้มาเขียนถึงอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ ก็เพื่อที่จะเป็นกำลังใจให้แก่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งบัดนี้ถือว่าแต่งตั้งครบถ้วนแล้ว ได้เวลาที่จะลงมือเดินหน้าทำงานลุยศึกเศรษฐกิจอันใหญ่หลวง ที่รออยู่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

จริงอยู่ที่แล้วมารัฐบาลก็ทำงานกันมาตลอด แต่การที่ขาดผู้รับผิดชอบในตำแหน่งสำคัญไปตำแหน่งหนึ่ง ย่อมทำให้การทำงานขาดประสิทธิภาพไปบ้างเป็นของธรรมดา

บัดนี้ เมื่อได้ผู้เล่นมาครบทุกตำแหน่ง จึงเป็นที่หวังว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจะทำงานได้อย่างเต็มสูบ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศชาตินั้น จะอาศัยเพียงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งคงไม่เป็นผลสำเร็จแน่นอน

ความร่วมมือร่วมใจของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งความจริงก็รับผิดชอบในการดูแลกระทรวงเศรษฐกิจในภาคปฏิบัติอยู่เกือบทุกพรรค จึงเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้น

จะต้องเดินไปในทางเดียวกัน และไม่ขัดแย้งกันเอง

เมื่อรัฐบาลผนึกกำลังกันทุกพรรคได้อย่างแน่นแฟ้นแล้ว ก็จะสามารถไปผนึกกำลังกับภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นผู้ลงทุนลงแรงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจตัวจริง เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นได้ในที่สุด

โชคดีที่ภาคเอกชนไทยส่วนใหญ่ยังแข็งแกร่ง และพร้อมจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่

เราจะเห็นบริษัทใหญ่ๆ จำนวนมากที่ยังสามารถลงทุนได้ จ้างงานได้ ยังคงลงทุนต่อไปและจ้างงานต่อไป

มีการช่วยเหลือกันระหว่างบริษัทใหญ่กับบริษัทเล็กดังเช่นพาดหัวข่าวในหน้าเศรษฐกิจของไทยรัฐ เมื่อวานนี้ที่ว่า…“100 บริษัทยักษ์อุ้มเอสเอ็มอี จ่ายหนี้ 30 วันเสริมสภาพคล่องแสนล้าน”

แสดงให้เห็นถึงการรวมพลังภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทใหญ่กว่า 100 บริษัทที่จะเข้าร่วมในโครงการของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง

ตราบใดที่ทุกฝ่ายยังมีน้ำใจต่อกันและกัน รวมทั้งยังช่วยเหลือกัน เช่นนี้ ผมก็เชื่อว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย แม้จะยากเย็นหนักหนา แต่ก็ยังพอเห็นความหวังและความสำเร็จที่รออยู่

แต่ก็อดกังวลใจไม่ได้ครับ เพราะข่าวดีๆของเมืองไทยเรามักจะถูกกลบด้วยข่าวร้ายๆอยู่เสมอ โดยเฉพาะความยุ่งยาก ความวุ่นวายทางการเมืองที่ยังเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบ

อย่าลืมว่าปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศชาติขณะนี้ก็คือ การทรุดของเศรษฐกิจจากโควิด-19 ที่จำเป็นจะต้องฟื้นฟูโดยด่วน

ถ้าเรามัวแต่ทะเลาะกันวุ่นวาย และมีเรื่องกระทบกระทั่งโน่นนี่ไม่หยุดหย่อน…จะเอาเวลาที่ไหนไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจเล่าครับ และการลงทุนลงรอนใหม่ๆจะเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะครับ

หวังว่า 14 ตุลาคมที่จะถึงนี้ คงไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงมาทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องสะดุดลงนะครับ.

“ซูม”

รมว.คลัง, อาคม เติมพิทยาไพสิฐ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ซูมซอกแซก, ฟื้นฟูเศรษฐกิจ, เศรษฐกิจไทย