เด็กไทย “ชูสามนิ้ว” บทเรียนจาก “โซเชียล”

ผมเองก็เหมือนคนไทย Gen B ซึ่งย่อมาจาก Baby Boomer หรือยุคเด็กเกิดมาก ระหว่าง พ.ศ.2489–2507 ซึ่งมีอายุระหว่าง 56 ถึง 74 ปี นั่นแหละครับ…ที่รู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศของเราในขณะนี้

ความจริงผมแก่กว่าคนกลุ่มนี้หน่อย เพราะเกิดรุ่นสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังระอุ แต่ก็เอาเถอะ ยอมลดอายุลงมา จะได้เข้ากลุ่มและมีอารมณ์ มีความรู้สึกร่วมกับคน Gen B ได้อย่างสนิทใจ

ความไม่สบายใจของคนรุ่นผมเกิดขึ้นหลังจากเด็กนักเรียนมัธยมของโรงเรียนต่างๆ ยกมือขึ้น “ชู 3 นิ้ว” ในระหว่างร้องเพลงชาติหน้าเสาธงตอนเช้าๆ นั่นแหละครับ

เหตุเพราะเมื่อตอนที่คนรุ่นผมเป็นเด็กๆ ได้รับการอบรมสั่งสอนว่า “เพลงชาติ” เป็นเพลงที่ศักดิ์สิทธิ์เพลงหนึ่งของคนไทย

เราจะต้องร้องด้วยความเคารพและต้องยืนตรงด้วยความสงบ

แต่เด็กรุ่น Gen Z ซึ่งเกิดหลัง พ.ศ.2540 เป็นต้นมา หรือมีอายุระหว่าง 1 วันถึง 23 ปี โดยเฉพาะน้องๆ โรงเรียนมัธยมต่างๆ น่าจะมีอายุระหว่าง 15-17 ปี กลับชู 3 นิ้วในระหว่างร้องเพลงชาติ อันเป็นอาการที่ไม่แสดงถึงความเคารพและยอมรับว่า เพลงชาติไทยเป็นเพลงศักดิ์สิทธิ์อย่างคนรุ่นเก่าเคารพ

ไม่ว่าการชู 3 นิ้วจะมีความหมายอย่างไร? เช่น การชู 3 นิ้วแบบลูกเสือ ซึ่งหมายถึง การปฏิญาณตนนั้นจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่เหมาะที่จะนำมาชูในระหว่างร้องเพลงชาติ

ยิ่งถ้ามีความหมายในทางการเมืองต่างๆ ดังที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ก็ยิ่งไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง

โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ เริ่มปรากฏอย่างชัดเจนว่าการชู 3 นิ้ว ริเริ่มมาจากบุคคลบางกลุ่มที่มีเจตนาไปไกลถึงนิ้วที่ 4 ซึ่งเป็นนิ้วแอบแฝงและมีผลกระทบถึงสถาบันหลักที่คนไทยรักและหวงแหนรวมอยู่ด้วย

การชู 3 นิ้วในระหว่างร้องเพลงชาติไทยไปพร้อมๆ กับที่ธงไตรรงค์กำลังจะขึ้นสู่ยอดเสาจึงช็อกคน Gen B อย่างผม จนเกิดความรู้สึกไม่สบายใจและอึดอัดใจอยู่ในขณะนี้

ครูบาอาจารย์โดยเฉพาะผู้อำนวยการ หรือครูใหญ่ หรือครูผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็อยู่ในวัยต้นๆ ของ Gen B ก็พลอยช็อกไปด้วย บางท่านคุมความช็อกไม่อยู่เข้าไปดุเด็กๆ เข้าไปกระชากโทรศัพท์มือถือ

กลายเป็นจำเลยสังคมว่า ป่าเถื่อนบ้าง ไม่เข้าใจเด็กบ้าง ปิดกั้นความคิดการแสดงออกทางประชาธิปไตยของเด็กๆ บ้าง ในที่สุด

ผมเชื่อว่า กิริยาชู 3 นิ้ว ในระหว่างร้องเพลงชาติอันไม่เหมาะสม ดังกล่าวนี้คงไม่มีครูบาอาจารย์ท่านไหนสอนเด็กๆ แน่นอน

พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่น่าจะมีใครสอน หรือถ้ามีบ้างสำหรับพ่อแม่ที่การเมืองขึ้นสมองจัดก็น่าจะมีเป็นส่วนน้อยเท่านั้น

คำถามก็คือ ใครที่ไหนล่ะ ที่มาสอนเด็กๆ เหล่านี้? ซึ่งคำตอบก็คือ เทคโนโลยีของโลกสมัยใหม่ที่เรียกกันว่า “โซเชียลมีเดีย” สื่อสังคมออนไลน์ หรือบางครั้งก็เรียกกันสั้นๆ ว่า “โซเชียล” นี่เอง ที่ช่วยสอนการ “ชู 3 นิ้ว” ให้แก่เด็กไทยเรา

คน Gen เราที่รู้เท่าทันเมื่อพบเจอคำสอน คำปลุกระดมในโซเชียลเราก็ปิดไปเสีย หรือไม่เปิดอ่าน เมื่อเห็นหัวเรื่องที่หมิ่นเหม่

แต่เด็กๆ ที่บริสุทธิ์มักเปิดอ่าน และเมื่ออ่านไปทุกเรื่องนานๆ เข้าก็เชื่อ จนเกิดเป็นปรากฏการณ์อย่างที่เราเห็นจากข่าวหน้า 1 ทุกวันนี้

ถ้าเช่นนั้น เราจะแก้เกมนี้อย่างไร?

ผมคิดว่าถ้าเจตนาของเด็กๆ อยู่ที่ 3 นิ้วจริงๆ คือเรียกหาประชาธิปไตย และไม่ต้องการเผด็จการ ก็ไม่ต้องแก้อะไรทั้งสิ้น ที่กระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งให้โรงเรียนเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ แสดงความคิดเห็นนั้นถูกต้องแล้ว

แต่ถ้าหากเจตนาของเด็กไปไกลถึงนิ้วที่ 4 ที่ซ่อนเร้นอยู่ ผมก็เห็นว่า พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะต้องช่วยละครับ คือหาทางพูดคุยกับลูกๆ หลานๆ ให้เข้าอกเข้าใจถึงแก่นแท้ของความเป็นคนไทยและรากเหง้าของประเทศไทย

หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะยังไม่สายเกินไป และหวังว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะช่วยกันโน้นน้าวจิตใจและอธิบายให้เด็กๆ เข้าใจได้ในที่สุด

แม้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกจะไม่เคยปรากฏว่า พ่อแม่ผู้ปกครองที่ไหนเอาชนะโซเชียลมีเดียได้…แต่ผมก็หวังว่าประเทศไทยของเราจะเป็นข้อยกเว้น

ผมขอเอาใจช่วยพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆ ทุกคนนะครับ.

“ซูม”

เพลงชาติ, ชู 3 นิ้ว, ซูมซอกแซก