“คืนยุติ-ธรรม” ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์ฟอร์มยักษ์ ที่ตีแผ่เรื่องราว “ความยุติธรรม” ให้เป็น “รูปธรรม”

ถ้า “ความเหลื่อมล้ำในสังคม” ถูกมองว่าเป็นแค่เรื่อง “เหล้าเก่าในขวดใหม่” กฎหมายทรงพลังกับคนด้อยโอกาส แต่สนับสนุนคนที่มั่งมี…แล้วใครล่ะที่กล้าพอจะสางปมในใจของทุกคน

“คืนยุติ–ธรรม” ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์ฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุดของ “เอ็ม พิคเจอร์ส” ที่ตีแผ่เรื่องราว “ความยุติธรรม” ให้เป็น “รูปธรรม” มากขึ้นด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านแผ่นฟิล์ม งานนี้ โปรดิวเซอร์เก๋าเกมส์ อุ๋ย–นนทรีย์ นิมิบุตร และผู้กำกับหนุ่มไฟแรง โน้ต–กัณฑ์ปวิตร ภูวดลวิศิษฏ์ ร่วมพัฒนาเรื่องราวของหนังให้เข้มข้น พร้อมชมความสามารถทางการแสดงที่ก้าวไปอีกขั้นของนักแสดงหนุ่มมากฝีมือ ก๊อต–จิรายุ ตันตระกูล ที่ทุ่มเททั้งจิตวิญญาณและร่างกายเพื่อปั้นคาแร็คเตอร์ของ “มานพ” ให้ตรงกับโจทย์ที่ได้รับมากที่สุด,การแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิตของ ปูเป้–รามาวดี นาคฉัตรีย์ รวมถึงการพลิกมารับบทเลวบริสุทธิ์ อย่าง “สิทธิชน” ของ ซูโม่กิ๊ก–เกียรติ กิจเจริญ ร่วมด้วย แพร–ณัฎฐธิดา ดำรงวิเศษพาณิชย์ และ อาร์ต–ศิลป์ รุจิรวนิช

“คืนยุติ–ธรรม” เล่าถึง “มานพ” (ก๊อต–จิรายุ ตันตระกูล) ชายหนุ่มผู้มีอนาคตอันสดใสทั้งเรื่องการงานและความรัก และกำลังจะแต่งงานกับ “ดวงใจ” แต่อนาคตของมานพกลับต้องพังทลาย เมื่อเขาถูก “สิทธิชน” (กิ๊ก–เกียรติ กิจเจริญ) ยัดข้อหาฆ่า ดวงใจ ภรรยาของตัวเอง จนต้องติดคุก เมื่อมานพจากออกจากคุกเขาได้พบกับ “กานดา” (ปูเป้-รามาวดี นาคฉัตรีย์) จิตแพทย์สาวที่อาสาเข้ามาเยียวยาอาการป่วยทางจิตใจของเขา แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปเธอกลับค้นพบ มานพ อีกคนที่เธอไม่รู้จัก ที่ลุกขึ้นมาตั้งตนเป็นศาลเตี้ยทวงความยุติธรรมแก่สังคมด้วยความรุนแรงในยามค่ำคืน และนำไปสู่ความจริงปริศนาที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด

อุ๋ย-นนทรีย์ กล่าวว่า “จริงๆ ผู้กำกับ โน้ต-กัณฑ์ปวิตร ทำเรื่องนี้เอาไว้หลายปีแล้ว แต่จังหวะไม่ลงตัวสักที เลยยังไม่มีโอกาสได้ทำ กระทั่งวันหนึ่งผู้กำกับนำเสนอเรื่องนี้มาอีกครั้ง ไทม์มิ่งทุกอย่างลงตัว ก็นำเนื้อเรื่องต่างๆ มาปรับให้เหมาะสมกับรูปแบบหนังของคนไทย โดยทาง เอ็ม พิคเจอร์ส ก็ให้โจทย์ว่า เรื่องราวของหนังเล่าถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเวลาแค่ 12 ช.ม. จะทำยังไงให้เป็นหนังฟอร์มใหญ่ ผมจึงใส่ฉากแอ็คชั่นลงไปในหนัง เพื่อให้ผู้ชมตื่นเต้น ลุ้น และ สนุกไปกับเรื่องราวของหนัง ถามว่าคนดูจะได้อะไรจากเรื่องนี้ อย่างแรกเลยคือ เราทำหนังเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม แต่อีกมุมคือเราอยากบำบัด ผมเชื่อว่าทุกคนต่างต้องเคยเจอเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกคับแค้นใจ คนที่มาชมหนังเรื่องนี้จะได้ปลดปล่อยความรู้สึกเหล่านั้น แต่หนังก็จะสะท้อนให้เห็นว่าตราบใดที่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องรับผลในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปครับ”