อย่าประมาทที่ชนะ “ศึกแรก” “สงครามต่อไป” หนักกว่านี้

เป็นอันว่าประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราชาวไทยทั้งหลายก็สามารถทำสถิติผู้ติดเชื้อโควิดใหม่ในประเทศเป็น 0 ได้ 28 วันติดต่อกันไปเรียบร้อยเมื่อวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา

ผมนั่งลุ้นอย่างใจจดใจจ่ออยู่หน้าจอทีวีตอน 11.30 น. พอได้ยินเสียงประกาศจากท่านโฆษก ศบค. คุณหมอ ทวีสิน วิษณุโยธิน ว่าพบผู้ติดเชื้อใหม่วันนี้ 3 รายในสถานที่กักตัวของรัฐ โดยทั้ง 3 มาจากประเทศเดียวกันคือ อินเดีย ผมก็ส่งเสียงเฮลั่น

เพราะนั่นหมายความผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศล้วนๆ จะเป็น 0 อีก 1 วัน และครบ 28 วันแห่งการไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศอันเป็นเป้าหมาย ที่กระทรวงสาธารณสุขเคยแถลงไว้ว่าจะทำให้เรามั่นใจมากขึ้นว่า “เชื้อโควิด-19” ในประเทศ “น่าจะ” เหลือน้อยมากๆ แล้ว

ผมใช้คำว่า “น่าจะ” ก็เพื่อไม่ให้เกิดความประมาท เพราะถ้าจะ ว่าไป เราก็ไม่ได้ตรวจเชื้อคนไทยทุกคน เพียงแต่ใช้วิธีตรวจแบบเชิงรุก สุ่มไปตามกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ในจำนวนหนึ่งในแต่ละวัน

จึงอาจจะเป็นไปได้ที่จะมีผู้ติดเชื้อหลงหูหลงตาอยู่บ้าง เพราะฉะนั้น การใช้คำว่า “น่าจะ” หรือ “อาจจะ” มาประกอบคำอธิบายเรื่องตัวเลข การติดเชื้อภายในประเทศเป็น 0 ก็จะทำให้เราไม่เหลิงและพร้อมที่จะค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง

ดังเช่น รายงานข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ในวันเดียวกับที่เราไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศครบ 28 วันนี่เอง ก็ระบุว่าที่ประชุมอนุกรรมการของ ศบค.ได้เชิญตัวแทนของผู้ประกอบการกลุ่มสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ นักร้อง นักดนตรี ฯลฯ มาหารือถึงการเตรียมมาตรการเพื่อรองรับการปลดล็อกของกลุ่มนี้

อาจเป็นไปได้ที่จะมีการเสนอให้ปลดล็อกธุรกิจสถานบันเทิง หรือกลุ่มเฟส 5 ในการประชุมชุดใหญ่ ศบค. วันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึง

ที่ผมอ่านข่าวแล้วสบายใจ ก็เพราะหนังสือพิมพ์ทุกฉบับได้รายงานให้ทราบถึงบรรยากาศของการพูดคุยที่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันทั้ง 2 ฝ่าย

บรรดาผู้ประกอบการด้านบันเทิงที่ต้องกัดฟันกลืนเลือดอยู่ในขณะนี้ก็เข้าใจรัฐบาลและเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องดำเนินในลักษณะ ที่ทำให้พวกเขาต้องได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง

แต่ก็ขอให้รัฐบาลเห็นใจ โดยมีมาตรการเยียวยาต่างๆ ให้บ้าง รวมทั้งขอให้พิจารณาให้พวกเขากลับมาเปิดบริการได้โดยเร็วที่สุด

ท่านผู้แทนของ ศบค.คือท่านรอง ผบ.ทบ. พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะทำงานกลั่นกรองฯ ตามมาตรการผ่อนคลาย ก็พูดจาปราศรัยอย่างน่าฟัง รับความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอาไว้เพื่อนำไปเสนอที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่อีกทอดหนึ่ง

ต่างกับข่าวที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งโต้เถียงกันจนถึงขั้นทะเลาะกัน ที่เราอ่านพบในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากๆ และมีผู้เสียชีวิตในจำนวนมากที่มีการประท้วง มีการตอบโต้ ฝ่ายหนึ่งจะปิด อีกฝ่ายค้านไม่ให้ปิด

หรือเมื่อปิดไปแล้วก็มีการเรียกร้องให้รีบเปิด ทั้งๆ ที่ยังไม่สะเด็ดนํ้า จนเกิดการระบาดรอบ 2 อยู่ในขณะนี้

ผมก็ได้แต่หวังว่าการเปิดอกพูดคุยและรับฟังปัญหาด้วยความเห็นอก เห็นใจซึ่งกันและกัน ค่อยๆทำ ค่อยๆ ปลด…ปลดแล้วก็ยังมีมาตรการป้องกัน การแพร่ระบาดควบคู่ไปด้วย ฯลฯ

จะทำให้เราเดินหน้าไปสู่เฟส 5 และไปสู่การผ่อนคลายในทุกๆ ด้านโดยไม่มีปัญหาการระบาดรอบใหม่ หรือหากจะมีบ้างก็ประปรายอยู่ในวิสัยที่จะควบคุมได้ในที่สุด

ขอให้เราช่วยกันรักษาบรรยากาศของการทำงานแบบเห็นอกเห็นใจ และเข้าอกเข้าใจเช่นนี้ไปโดยตลอดนะครับ อย่าลืมว่าเรายังมี “ภารกิจ” ที่ใหญ่มากๆ รออยู่ ได้แก่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

แน่นอน เราควรภูมิใจที่สามารถเอาชนะ “ศึกแรก” คือโควิด-19 ได้ แต่ก็อย่าประมาทเป็นอันขาด เพราะ “สงครามหน้า” ที่รอเราอยู่ ได้แก่ “สงครามเศรษฐกิจ” จะหนักและเหนื่อยกว่าหลายเท่า

เรายังจะต้องรู้รักสามัคคีและร่วมมือกันฝ่าฟันสงครามเศรษฐกิจอันเป็นผลมาจากเจ้าไวรัสมหาภัยโควิด-19 ไปอีกยาวนานครับ อาจจะ หนึ่งปี หรือ 2 ปีด้วยซํ้าไป.

“ซูม”