ภาพ “งดงาม” และ “อัปลักษณ์” บันทึก “ครึ่งทาง” วิกฤติโควิด

ถึงแม้ว่าเรายังจะต้องตั้งการ์ดให้สูงๆ กันเอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ “การ์ดตก” ดังที่ ศบค.ท่านเน้นย้ำสำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 อันสืบเนื่องมาจากการคลายล็อกเฟส 3 ที่ผ่านไปแล้ว 4-5 วัน นับมาถึงวันนี้

แต่จากภาพรวมที่ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ของคนไทยในประเทศ เป็นศูนย์มาหลายวัน เพราะที่ยังติดอยู่วันละ 2-3 รายนั้น ล้วนมาจากพี่น้องคนไทยเราที่กลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในระหว่างกักกันตัวทั้งสิ้น

ทำให้ผมรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจพอสมควร และคิดว่าวันนี้คงได้เวลาที่จะต้องมองย้อนหลังกลับไปเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ในช่วงที่เรากำลังต่อสู้กับเจ้าโควิด-19 อย่างหนักหน่วงนั้น…มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง?

เพื่อที่เราจะนำมาใช้เป็นบทเรียนในการเตรียมตัวสำหรับสู้กับผลกระทบด้านเศรษฐกิจของโควิด-19 ที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้

ภาพที่น่าชื่นชม หรือภาพแห่งความงดงามที่โดดเด่นที่สุด ก็คือภาพการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยทั้งประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกหมู่เหล่าปฏิบัติตามแนวทางและยุทธวิธีการสู้รบที่กำหนดโดย กระทรวงสาธารณสุข และคณะแพทย์อาวุโสอย่างเคร่งครัด

เราได้เห็นการทำงานที่เข้มแข็งของภาครัฐ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น จากทุกกระทรวงทบวงกรมที่เกี่ยวข้อง

ขอบคุณคุณหมอ คุณพยาบาล ทุกโรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกระดับและ อสม.ที่เสียสละและทุ่มเทสุดๆ ช่วยรักษาชีวิตคนไทยไว้ได้กว่า 3,000 ราย และเสียชีวิตไปเพียง 58 รายเท่านั้น ขณะนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้

ขณะเดียวกัน สำหรับพี่น้องประชาชนคนไทย โดยทั่วไปนั้นเราก็ได้เห็นความงดงามจากการช่วยเหลือเจือจานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ด้วยกระแสธารน้ำใจหลายๆ รูปแบบทั่วประเทศ จากคนที่ยังอยู่ดีกินดีไปถึงผู้คนที่เริ่มอดอยากปากแห้ง เพราะการตกงานถูกเลิกจ้าง ฯลฯ จำนวนมาก

ไม่ว่าจะเป็นการตั้งโต๊ะแจกอาหาร แจกเครื่องอุปโภคบริโภคไปจนถึงล่าสุด การจัดตั้ง “ตู้ปันน้ำใจ” หรือ “ตู้ปันสุข” ทั่วทุกแห่งหน

จริงๆ แล้ว ยังมีเรื่องราวแห่งความดีงามอีกหลายๆอย่าง แต่เพื่อขยักเนื้อที่สำหรับบันทึกภาพ “อัปลักษณ์” หรือไม่งดงามไว้บ้าง ผมขออนุญาตจบเรื่องดีๆ ไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ

เมื่อพูดถึงภาพอัปลักษณ์ที่เกิดขึ้นและน่าเกลียดน่าชังที่สุด เห็นจะได้แก่การกักตุนสิ่งของที่จำเป็นต่างๆ โดยเฉพาะ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ หรือเจลล้างมือ จนทำให้เกิดภาวะขาดแคลนขึ้นช่วงหนึ่ง

อีก 1 ภาพที่ถือว่า “ขี้เหร่” หรืออัปลักษณ์เช่นกัน ก็คือการเวียนเทียนรับของแจกของบุคคลบางกลุ่ม หรือการเข้าไปขนของใน “ตู้ปันสุข” แบบเอารถมาขนเลย ไม่แบ่งให้คนอื่นบ้าง ดังที่มีการประจานเผยแพร่ตามสื่อสังคมต่างๆ มาแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อหักลบกันแล้วภาพแห่งความงดงามมีมากกว่าเยอะครับ มากจนกลบความอัปลักษณ์ต่างๆ ลงได้โดยสิ้นเชิง

แต่เรื่องราวของโควิด-19 ยังไม่จบครับ ยังเหลือขั้นตอนใหญ่ ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายก็จริง แต่จะโหดร้ายและหนักหนาที่สุดรออยู่

นั่นก็คือ ผลกระทบจากความเสียหายด้านเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง ดังที่ทุกๆ สำนักพยากรณ์ไว้ ซึ่งเรายังจะต้องจับมือกันต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจด้วยความเหนื่อยยากอีกนานอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 ปี หรือ 2 ปี

ความอดอยากที่แท้จริงจากคนตกงานหลายล้านคนและยากที่จะหางานทำได้ง่ายๆ ในช่วงนี้จะเกิดขึ้น และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ

เรายังต้องการความช่วยเหลือเจือจาน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากคนที่ยังมีกินมีใช้ถึงคนที่จะอดอยากยากไร้อีกมาก ดังนั้น การแจกอาหาร โรงทานและตู้ปันสุขยังจะต้องมีต่อไป

ภาพอัปลักษณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ ที่จะต้องระวังให้มากที่สุด ได้แก่ การก่ออาชญากรรมต่างๆ โดยเฉพาะการก่อคดีปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ เมื่อผู้คนจำนวนมากยังตกงาน ขาดรายได้มาจุนเจือทั้งตัวเองและครอบครัว

รวมทั้งอีกภาพอัปลักษณ์หนึ่งที่อาจเกิดขึ้นและต้องช่วยกันจับตาดูด้วยคือ เงินกู้ในวงเงิน 4 แสนล้านบาท ที่จะนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ท้องถิ่น และชุมชนที่มีข่าวว่า นักการเมือง “เสือหิว” จำนวนหนึ่งกำลังจ้องตาเป็นมัน

ช่วยกันดูแลการใช้เงินกู้ (ที่จะต้องใช้หนี้ไปถึงลูกหลาน) ก้อนนี้ให้ดีๆ นะครับ บิ๊กตู่ครับ อย่าให้รั่วไหลไปเป็นเหยื่อของ “เสือหิว” เป็นอันขาด แม้แต่บาทเดียวก็ตาม.

“ซูม”