ผมยังไม่มีเวลาไปเดินห้างเลยครับ จึงยังไม่ทราบว่าตั้งแต่กลับมา เปิดห้างอีกหนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม มาจนถึงบัดนี้ ผู้คนเป็นอย่างไรบ้าง? ขายดิบขายดีแค่ไหน? จะกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่? และเมื่อไร?
แต่เท่าที่ลองโทรศัพท์ไปพูดคุยกับน้องๆ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบางห้างที่คุ้นเคยกัน ก็พอจะได้คำตอบว่า บรรยากาศทั่วๆ ไปยังไม่ค่อย คึกคักเท่าไรนัก คือค่อนข้างแน่นและหนาตาเฉพาะในวันแรกเปิด ซึ่งเป็นวันอาทิตย์เท่านั้นเอง หลังจากนั้นก็เหงาๆ เหมือนเดิม
ก็คงต้องค่อยเป็นค่อยไปครับ เพราะทุกอย่างยังไม่เป็นปกติ ในขณะที่ภาวะการระบาดก็ยังคงมีอยู่ แม้เราจะควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยมมาโดยตลอด แต่ประชาชนก็ยังต้องระมัดระวังตัว ไม่การ์ดตก อย่างที่กระทรวงสาธารณสุขท่านขอร้องไว้
จะให้การค้าการขายกลับมาคึกคักทันทีทันควันคงไม่ได้หรอกครับ
ขออนุญาตให้กำลังใจห้างสรรพสินค้าที่เปรียบเสมือนทัพหน้าในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง เพราะทุกๆ ห้างยังจะต้องอดทนและกัดฟันสู้ไปอีกพักใหญ่ๆ เมื่อมองจากสถานการณ์โดยรวมในขณะนี้
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ท่านมาแถลงถึง การประเมินภาวะเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปีนี้ ปรากฏว่าติดลบไป 1.8%
พร้อมกับคาดว่าจะหนักที่สุดในไตรมาส 2 คือ เมษายน-พฤษภาคม-มิถุนายน นี่แหละครับ เพราะจะได้รับผลพวงจากการล็อกดาวน์ตั้งแต่เดือนมีนาคม เมษายน อย่างเต็มที่
แต่ท่านก็หวังว่าถ้าสามารถปลดล็อกหรือผ่อนคลายตั้งแต่ไตรมาสนี้ได้บ้าง และถ้าการเดินทางท่องเที่ยวอย่างน้อยภายในประเทศเริ่มดีขึ้นในไตรมาสสุดท้าย…ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น และส่งผลในปีต่อไป
สำหรับปีนี้ หรือปี 2563 นั้น จากสถานการณ์และข้อมูลต่างๆ ในขณะนี้ ท่านประเมินว่าเศรษฐกิจของเราทั้งปีน่าจะเติบโตแบบติดลบระหว่าง -5 ถึง -6 เปอร์เซ็นต์ โดยมีค่ากลางอยู่ที่ -5.5 เปอร์เซ็นต์
เปอร์เซ็นต์การติดลบที่ว่านี้ แม้สมมติว่าจะออกมาที่ -5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการประเมินขั้นต่ำแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นอัตราการติดลบที่หนักหนาสาหัสทีเดียวสำหรับประเทศไทยเรา
ด้วยเหตุนี้แหละครับที่ทำให้ผมต้องปลอบใจทั้งห้างสรรพสินค้า และผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ตลอดจนพี่น้องประชาชนชาวไทยว่า เรายังจะต้องใช้เวลาในการที่จะฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้กันอีกยาวนานพอสมควร
ที่สำคัญตัวยาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เราเคยใช้อย่างได้ผลมาในอดีตอย่างการส่งออก อย่างการท่องเที่ยวนั้น ก็คงจะไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างถนัดนักในวิกฤติครั้งนี้
เพราะทุกประเทศเสียหายหมดใครจะมีเรี่ยวแรงไปซื้อคนอื่น ดังนั้นการส่งออกคงจะไม่ฟื้นกลับมาเร็วแน่นอน
ส่วนการท่องเที่ยวนั้น นอกจากประเทศต่างๆ ที่มีผู้คนชอบเที่ยวและชอบมาบ้านเราจะหมดเงินหมดทองเพราะเขาเจอหนักเสียยิ่งกว่าเราแล้ว…หลายๆ ประเทศที่ชอบเที่ยวก็เป็นประเทศที่ติดเชื้อสูงมีคนเสียชีวิตค่อนข้างมาก
เราจะกล้ารีบเปิดประเทศให้พวกเขาเข้ามาเที่ยวกันเยอะๆ เหมือนเก่าหรือครับ
ก็เอาเถอะแม้ตัวยา หรืออาวุธทั้ง 2 ประการนี้ จะไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างถนัดถนี่เหมือนครั้งก่อนเก่า แต่ผมก็หวังว่า บรรดานักรบ เศรษฐกิจของภาคราชการ รวมทั้งของภาคเอกชนที่ประสานงานกันอย่าง ใกล้ชิดในขณะนี้ และอยู่กับข้อมูลข้อเท็จจริงคงจะพอมองเห็นทางออกด้วยการใช้อาวุธอื่นๆ กันอยู่บ้าง
ช่วงนี้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยันไม่ให้เศรษฐกิจไทยทรุดไปมากกว่าที่สภาพัฒน์ประมาณการไว้ก็แล้วกันนะครับ
ส่วนการจะฟื้นฟู หรือรุกคืบไปข้างหน้าค่อยๆ คิดไปก็ได้รอให้ฝุ่นหายตลบมากกว่านี้ หรือการระบาดคลี่คลายไปมากกว่านี้จนเราเห็นว่า โลกเราคงอยู่ในสภาพบอบช้ำอย่างไร? และคนอื่นเขาจะฟื้นกันอย่างไร?…เราค่อยใช้แผนรุกก็คงไม่สายเกินไป
บุ่มบ่ามจะบุกตะลุยทันทีเลยในตอนนี้ เดี๋ยวจะเสียกระสุน หรือเสียเงินทองไปฟรีๆ เพราะยิงไม่เข้าเป้าเสียเปล่าๆ
เงินทองที่กู้มาทุกบาททุกสตางค์มีค่าอย่างยิ่ง ต้องใช้ให้คุ้มค่านะครับท่านสมคิด แม่ทัพเศรษฐกิจตัวจริงเสียงจริงของบิ๊กตู่ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ที่หนักหนาสาหัสอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย.
“ซูม”