บันทึก “ปลดล็อก” วันแรกเรา “ประมาท” ไปหรือเปล่า?

ผมนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้ในช่วงบ่ายๆ ของวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 วันแรกของการปลดล็อกให้ดำเนินกิจการบางอย่างได้ เพียงแต่จะต้องควบคุมดูแล เช่น วัดอุณหภูมิ, ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์, สวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างทางสังคม ฯลฯ ดังที่เป็นข่าวล่วงหน้ามาตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว

ปรากฏว่าข่าวแรกหรือคลิปแรกที่ผมได้รับจากการแชร์ของเพื่อนๆ หลายต่อหลายรายก็คือภาพที่ผู้คนกรูเข้าไปแย่งซื้อเบียร์ยี่ห้อหนึ่งในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งชนิดโกลาหลอลหม่านโดยไม่เว้นระยะห่างทางสังคม แต่อย่างใดเลย

แม้ผมจะถือคติว่า “ฟังหูไว้หู ดูตาไว้ตา” คือไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และให้ระวังเฟกนิวส์เอาไว้ก่อน ดังนั้นจึงยังไม่ปักใจ หรือฟันธงว่าภาพที่แชร์กันนี้เกิดขึ้นในเช้าวันนี้จริงหรือไม่?

แต่ก็ค่อนข้างจะเชื่อละครับ พิจารณาจากสถานการณ์แวดล้อมอื่นๆ ที่ผมไปเจอมาด้วยตนเองในช่วงเช้าวันเดียวกัน

เริ่มจากที่ตลาดเช้าบริเวณ สวนพฤกษชาติ คลองจั่น ด้านหลังของสำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ ซึ่งแม้ในช่วง 1 เดือนที่มีการล็อกดาวน์จะมีการเปิดให้บริการอยู่บ้าง แต่ก็เปิดแบบหลวมๆ และเท่าที่ผมไปเดินออกกำลังรอบหมู่บ้าน ซึ่งจะต้องผ่านตลาดเช้าที่ว่านี้ด้วยก็พบว่าบรรดาลูกค้าก็ไปอุดหนุนกันอย่างหลวมๆ ในแต่ละวัน

ทำให้ผมสามารถเดินผ่านไปได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง Social Distancing แต่อย่างใด

ปรากฏว่าเมื่อ 7 โมงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม ที่ กทม. อนุมัติให้เปิดแบบเต็มสตีมได้ ผมเห็นภาพแล้วก็ขนลุกซู่เลยครับ

เพราะแน่นไปหมดทั้งร้านค้าที่กลับมาตั้งขายเหมือนเดิม และพี่น้องประชาชนที่แห่กันมาอุดหนุนน่าจะมากกว่าเดิมหลายเท่า

เดินกันขวักไขว่เต็มถนนไปหมด และก็เข้าคิวซื้อสินค้าบางอย่างยาวเหยียด (ดีว่าไม่ถึงกับแย่งกันซื้อแบบซื้อเบียร์ในคลิปเท่านั้น)

ผมขยับหน้ากากอนามัยให้แน่นขึ้นอีกนิด พร้อมกับชั่งใจว่าจะเดินผ่านเพื่อไปทะลุอีกด้านของหมู่บ้านแล้วเดินต่อให้รอบหมู่บ้านสัก 1 รอบเหมือนที่เคยปฏิบัติมาตลอดเดือนที่แล้วดีหรือไม่?

ในที่สุด ก็ตัดสินใจถอยดีกว่า กลับไปวิ่งเหยาะๆ ที่บ้านผมแทน

ครับ! จากภาพตลาดเช้าข้างบ้านที่แน่นขนัดเหลือเกินดังที่ผมเล่ามาข้างต้นกับภาพหน้า 1 หนังสือพิมพ์หลายฉบับที่เห็นเมื่อวันก่อนเกี่ยวกับการเดินทางไปต่างจังหวัดของพี่น้องประชาชนจนรถราติดขัดในถนนหลายๆ สาย

ทำให้ผมค่อนข้างเชื่อว่าคลิปผู้คนแย่งซื้อเบียร์ที่ขนมาหลายสิบลังจนหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตานั้น ไม่ใช่เอาคลิปเก่ามาโพสต์ใหม่

เพราะทุกภาพสะท้อนความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ว่าเราอยู่ในมู้ด หรือในโหมดเช่นว่านี้จริงๆ

มันเหมือนกับว่าเราต้องอดทน อดกลั้น เพราะต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน อันไม่ใช่วิสัยของคนไทยมาเป็นแรมเดือน ตามคำขอร้องของทางราชการเพื่อหยุดเชื้อ เพื่อชาติ จนรู้สึกอัดอั้นและเก็บกดกันไปหมด

พอทางการปลดล็อกให้ แม้จะแค่แง้มๆ เท่านั้น ยังไม่ได้ปลดอะไรมาก แต่เราก็รู้สึกเหมือนโล่งอกโล่งใจออกจากบ้านไปปลดปล่อยเต็มที่

ก็เอาเถอะครับ ด้วยความเข้าใจและเห็นใจว่าเราอดทน อดกลั้นกันมานาน จะปลดปล่อยกันบ้างในวันแรกๆ ถือว่ายอมรับได้

แต่จะต้องไม่ตกอยู่ในความประมาทนะครับ ยังจะต้องป้องกันตัวเองกันต่อไป ต้องสวมหน้ากาก ต้องรักษาระยะห่างทางสังคม ต้องล้างมือด้วยสบู่ ด้วยแอลกอฮอล์ หรือด้วยเจลกันต่อไป

ตลาดต่างๆ หรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ต้องควบคุมดูแลไม่ให้เกิดภาพชุลมุน แย่งซื้อโน่นนี่กันอีกต่อไป…ใครปล่อยให้เกิดขึ้นอีก ก็ใช้อำนาจผู้ว่าฯปิดสั่งสอนเป็นรายๆ เสียให้เข็ด

ทั้งภาพ ทั้งคลิปที่ผมเห็นวันนี้ ไม่ใช่ การ์ดตก แล้วละ แต่เป็นการเอาหมัดทั้ง 2 ข้างลงมาเท้าสะเอว ลอยหน้าท้าคู่ต่อสู้กันเลยละ

ยิ่งวันเดียวกันนี้ ท่านโฆษก ศบค. คุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ประกาศว่าเราติดเชื้อใหม่แค่ 3 ราย เดี๋ยวจะประมาทกันใหญ่

ก็ขอฝากไว้ด้วยว่า เจ้าโควิด ศิษย์อเวจี คู่ชกของมนุษยชาติยังไล่ชกคนทั้งโลกอยู่…โดยเฉพาะบ้านอื่น เมืองอื่น แม้จะเริ่มลดลงบ้าง แต่ก็ยังติดเชื้อใหม่จำนวนมาก และยังตายเป็นใบไม้ร่วงในหลายๆประเทศ

รีบยกการ์ดขึ้นมาเถอะครับ อย่างน้อยก็เอามาไว้ใกล้ๆ คาง อย่าเอาไปเท้าสะเอวแบบนี้เลย เดี๋ยวจะโดนโควิด ศิษย์อเวจี น็อกเสียเปล่าๆ ทั้งๆ ที่เราใกล้จะเป็นฝ่ายชนะน็อกมันได้อยู่แล้วเชียวนา.

“ซูม”