ทางสายกลางที่ต้องเลือก ต่อฉุกเฉิน+คลายล็อกดาวน์

ก็เป็นไปอย่างที่หลายๆ ฝ่ายคาดหมายไว้ว่ารัฐบาลคงจะต่ออายุการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปแน่ๆ หลังจากครบกำหนดเดิม 1 เดือนแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าแม้สถานการณ์โควิด-19 จะดูคลี่คลายไปพอสมควร แต่ก็ยังมีประเด็นที่น่าห่วงใยอยู่มากเช่นกัน

เริ่มจากในระดับโลก แม้จะเริ่มเบาลง ผู้ติดเชื้อใหม่น้อยลงผู้เสียชีวิตเพิ่มรายวันเริ่มลดลง แต่ในจำนวนที่ว่าน้อยลงนั้นก็ยังถือว่าสูงอยู่มากทีเดียว ยังประมาทไม่ได้

ที่สำคัญก็มีตัวอย่างให้เห็นในหลายๆ ชาติ เช่น ญี่ปุ่น เช่น สิงคโปร์ ที่เคยคุมได้ดี แต่พอการ์ดตกหน่อยเดียว กลับมาระบาดใหม่รอบ 2 ทำให้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศแทบตั้งรับไม่ทัน

เพราะฉะนั้นของเราเอง แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่จะน้อยลงเรื่อยๆ จนมาถึงในวันที่ 27 เมษายน อันเป็นวันที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 มีมติให้ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี้เอง ปรากฏว่ายอดติดเชื้อใหม่ลดมาเหลือ 9 คนเท่านั้น

ต้องถือเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมจากความร่วมมือร่วมใจกันของทุกๆ ฝ่ายในประเทศไทย รวมทั้งพี่น้องประชาชนชาวไทยที่เสียสละ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” มาตลอดช่วงเวลาที่รัฐบาลร้องขอ

เป็นตัวเลข “ตํ่าสิบ” ที่สวยงามมาก ทันทีที่ท่านโฆษก ศบค. แถลงออกมา ดูเหมือนจะมีเสียงเฮดังลั่นหน้าจอโทรทัศน์ไปหมด (อย่างน้อยก็ผม 1 คนละครับ แฮ่ม!)

นอกจากผู้ติดเชื้อใหม่จะต่ำสิบอย่างว่าแล้ว เมื่อไปดูตัวเลขผู้ที่ได้รับการรักษาจนหายแล้วกลับบ้านได้เฉพาะวันนี้ก็มี 15 คน มากกว่าคนติดใหม่ ทำให้ยังเหลือผู้รักษาตัวอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ เพียง 270 รายเท่านั้น

แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ตัวเลขความสำเร็จที่เกิดขึ้นเร็วก็มีผลในทางจิตวิทยาอีกแง่มุมหนึ่งเหมือนกันคือ จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่า เราดีแล้วนี่! หายระบาดแล้วนี่! คุมอยู่แล้วนี่! รีบๆ คลี่คลายกันเถอะ ผู้คนจะอดตายกันอยู่แล้ว! เศรษฐกิจจะพังกันหมดแล้ว!

ซึ่งเราจะได้ยินเสียงพูดจากันลักษณะนี้ดังกระหึ่มขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ของเราออกมาในลักษณะลดน้อยลง

ดังนั้น เมื่อตัวเลข 9 คน กับการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมาในวันเดียวกัน และแถลงข่าวโดยท่านโฆษกท่านเดียวกันเช่นนี้ ผมดูจากการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ NBT ผ่านยูทูบ ซึ่งเขาจะมีช่องคอมเมนต์สดๆ จากผู้ชมเป็นตัววิ่งให้ดูอยู่ด้วย จึงปรากฏว่ามีความเห็นในเชิงไม่เห็นด้วยกับการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่พอสมควรทีเดียว

โดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับการค่อยๆ คลายล็อก หรือคลายแบบค่อยเป็นค่อยไปอยู่แล้ว โดยคำนึงถึงทั้งสุขภาพและความเป็นความตายของมนุษย์ควบคู่ไปกับความเสียหายทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องหาจุดพบกันที่เหมาะสม

การที่รัฐบาลท่านขอยืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีก 1 เดือน ในความเห็นของผมคิดว่าก็ไม่ได้มากมายเกินไป

หากจะเดินหน้าต่อเพื่อให้เราสามารถคุมการแพร่ระบาดให้อยู่หมัดอีกสักเดือน สำหรับผมแล้วถือว่ารับได้ และผมก็คิดว่าผู้คนส่วนมากก็น่าจะรับได้เช่นเดียวกัน

แต่ประเด็นสำคัญที่จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปก็คือ มาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ต่างๆ นั่นแหละครับ ซึ่งท่านโฆษกก็แถลงว่า สภาพัฒน์กับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการอยู่ และจะประชุมด่วนหลังการประชุมในภาคเช้าทันที

เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลก็มีความห่วงใยในเรื่องปากท้องของประชาชนด้วยเช่นกัน

ปรากฏว่า ในตอนบ่ายๆ ก็มีข่าวออกมาว่า อาจจะมีการเสนอให้ร้านอาหารขนาดเล็กไม่ติดแอร์, ตลาดสด, ตลาดนัด, ร้านเสริมสวย, ร้านตัดผม, ห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดได้ ภายใต้รูปแบบการควบคุมระยะห่างทางสังคม

โดยรัฐบาลอาจจะประกาศให้ดำเนินการได้ตั้งแต่ 4 พ.ค.เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นการช่วยผู้ที่ประสบปัญหาตกงานได้จำนวนหนึ่ง และขณะเดียวกันก็จะช่วยลดเสียงทักท้วงเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินลงไปด้วย

การต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1 พ.ค.ไปพร้อมๆ กับมีมาตรการผ่อนคลาย 4 พ.ค. น่าจะเป็นทางสายกลางที่จะทำให้การต่อสู้โควิด-19 ยังดำเนินการได้ต่อไป แต่ขณะเดียวกัน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่น่าห่วงใยเช่นกันก็จะสามารถเริ่มต้นขึ้นได้ในเวลาที่ไม่ช้าจนเกินไปนัก

ผมว่าน่าจะเป็นทางสายกลางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์และกระแสสังคมล่าสุดนะครับ.

“ซูม”