โลก “ปีหนู” ดูดีกว่าที่คิด หลังสงครามการค้าคลี่คลาย

ตลาดหุ้นที่สหรัฐอเมริกากระดี๊กระด๊าบวกสูงขึ้นเรื่อยๆ หลายวันติดต่อกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 18 บ้านเรา หรือค่ำวันศุกร์ที่ 17 บ้านเขา ปรากฏว่าหุ้นทั้ง 3 ตลาดหลักทำสถิติปิดสูงสุดตลอดกาลอีกครั้งหนึ่ง

โดยเฉพาะดาวโจนส์แม้จะขึ้นเพียง 50 จุด แต่ขึ้นสะสมมาหลายวัน ทำให้ปิดที่ 29,348 จุด เป็นสถิติสูงสุดใหม่ของสหรัฐฯ

สาเหตุที่นักลงทุนสหรัฐฯกระดี๊กระด๊าประการที่หนึ่งเลยก็คือ การลงนามในสัญญาหยุดยิงในสงครามการค้าเฟส 1 ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นั่นแหละครับ

ในข้อตกลงที่ว่านี้สหรัฐฯ จะไม่เก็บภาษีสินค้า 160,000 ล้านดอลลาร์ ที่ประกาศจะเก็บวันที่ 15 ม.ค. และยังลดให้สินค้าที่เก็บไปแล้ว 120,000 ล้านดอลลาร์ จาก 15 เปอร์เซ็นต์ ให้เหลือ 7.5 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย

แต่จีนก็จะต้องซื้อสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าอย่างน้อย 200,000 ล้านดอลลาร์ ภายใน 2 ปี

บรรยากาศวันแถลงข่าวค่อนข้างแจ่มใส และแน่ล่ะประธานาธิบดีทรัมป์ย่อมจะถือโอกาสพูดหาเสียง ว่าเป็นฝีมือของตนเองในการแก้ปัญหา ความเสียเปรียบและความไม่ถูกต้องให้แก่สหรัฐอเมริกา จนกระทั่งได้ข้อตกลงที่จะเป็นประโยชน์แก่คนงานอเมริกัน เกษตรกรอเมริกันและครัวเรือนอเมริกันอย่างมากมายดังกล่าว

แต่ท่านก็กล่าวเป็นเชิงขอบคุณและยกย่องประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เข้าใจสถานการณ์และยอมลงนาม รวมทั้งให้ยาหอมว่าจะไปเยี่ยมเยียนในไม่ช้า และอาจมีเจรจาเฟส 2 กันต่อ

ส่งผลให้บรรยากาศด้านเศรษฐกิจของโลกดีขึ้นอย่างทันตาเห็น เกิดความหวัง เกิดการมองในแง่ดีว่าปี 2563 หรือ 2020 จะไม่เลวอย่างที่คาด

ประกอบกับสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังสหรัฐฯ สังหารนายพล กาเซม โซไลมานี ก็คลี่คลายไปมาก เพราะเมื่ออิหร่านได้ยิงจรวดใส่ฐานทัพสหรัฐฯ ในอิรักเป็นการตอบโต้แล้ว ก็เงียบๆ ไป

ล่าสุด เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ส่อแววว่าดีขึ้น เมื่อมีรายงานว่าค้าปลีกดี อสังหาริมทรัพย์กลับมาดีมาก สถานการณ์การจ้างงานก็แข็งแกร่งมาก ฯลฯ

เศรษฐกิจจีนอาจจะแย่ลงบ้าง ความเจริญเติบโตปี 2019 น่าจะเหลือ 6.1 เปอร์เซ็นต์ ต่ำสุดในรอบ 29 ปี แต่ก็ยังถือว่าเป็นอัตราที่สูงพอสมควร เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ และปีหน้าฟ้าใหม่เมื่ออะไรต่อมิอะไรคลี่คลายลงไปอีก คงจะดีกว่านี้

แต่จะให้ดีเหมือนเก่าคงไม่ได้แล้วล่ะ เพราะจากสงครามการค้าที่ต้องถือว่าจีนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เนื่องจากต้องซื้อสหรัฐฯมากขึ้น

ซึ่งโดยทฤษฎีก็ถูกแล้ว เพราะทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศสอนเอาไว้ว่า การค้าขายระหว่างประเทศนั้นเปรียบเสมือนการจราจร 2 ทาง คือต้องแล่นสวนกันไปสวนกันมา ต้องช่วยกันซื้อช่วยกันขายว่างั้นเถอะ

ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขายมากไป หรือเอาแต่จะขายท่าเดียว ในที่สุดฝ่ายตรงข้ามที่ขายได้น้อยกว่าและซื้ออยู่ลูกเดียวนั้น ก็จะอยู่ไม่ได้ และที่สุดของที่สุด เมื่ออยู่ไม่ได้ก็จะล้มลง ซึ่งก็คงไม่ใช่ล้มคนเดียว จะดึงฝ่ายขายมาล้มตายไปด้วย หรือตายทั้งคู่ในตอนจบ

ผมเองไม่เคยชื่นชอบนายทรัมป์เป็นการส่วนตัว และเห็นว่าแกเป็นบุคคลอันตรายของโลกมาตลอด แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่านโยบายเรื่องทำสงครามการค้ากับจีน แกเป็นฝ่ายถูก เมื่อมองจากมุมของทฤษฎีการค้า

จีนเองซึ่งมีนักเศรษฐศาสตร์ชั้นยอดอยู่เยอะก็คงรู้อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองได้เปรียบ ก็แกล้งลืมๆ ไปก่อน จนกระทั่งเมื่อคุณทรัมป์ ลุกขึ้นมาเล่นงาน จึงยอมมาเจรจาแล้วก็ยอมที่จะซื้อเพิ่มขึ้นมากมาย

สรุปว่า ณ นาทีนี้ เศรษฐกิจโลกในปี “หนูทอง” ทำท่าจะเป็นทองขึ้นมาจริงๆ คือ เริ่มมีความหวังมากขึ้นเป็นลำดับ

ไม่เหมือนเมื่อช่วงปลายปีเลยนะครับ และยิ่งตอนสัปดาห์แรกๆ ของปีใหม่ที่คุณทรัมป์แกอาละวาดสังหารนายพล กาเซม โซไลมานี ของอิหร่าน ซ้ำเข้าไปอีก…ใครๆ ก็นึกว่าเศรษฐกิจโลกแย่แล้ว…ที่ไหนได้แผล็บเดียวเท่านั้นเอง “เปลี๊ยนไป๋” เยอะเลย

แต่เมื่ออะไรๆ มันเปลี่ยนเร็วเช่นนี้ ก็อย่าเพิ่งดีใจมากเกินไปนัก เพราะมันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนอีกก็ได้ นี่เพิ่งวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 หรือ 2020 เท่านั้น ยังมีเวลาอีกตั้ง 11 เดือน กับ 11 วันกว่าจะสิ้นปีหนูทองยังต้องลุ้นกันอีกยาวนานครับ!

“ซูม”