รีวิว…ASHFALL นรกล้างเมือง…7.5/10

ภาพยนตร์ระทึกขวัญ-ภัยพิบัติ ที่เขย่ารวมกับปฏิบัติการลับสุดลุ้นจากเกาหลีใต้สู่เกาหลีเหนือ ที่ส่งตรงมาให้เราชมตั้งแต่ต้นปีนี้ นับว่ามีหน้าหนังให้ชวนชิม มิใช่ด้วยเหตุว่าเราจะได้เห็นความอลังการงานสร้าง หรือ Visual Effect ตระการตาแบบหน้าหนัง Hollywood แต่กลับเป็นคำถามที่ว่า “บทภาพยนตร์ / บทละคร” ที่สัมผัสอารมณ์ความรู้สึก อันเป็นทีเด็ดของผลิตภัณฑ์บันเทิงจากแดนกิมจิ จะถูกปรุงเข้ากับรสชาติสากลนิยมแบบอเมริกันตะวันตกได้ในระดับไหน 

และนี่ก็คือสัญญาณใหม่จากอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีในทศวรรษใหม่นี้ใช่หรือไม่ ? ที่จะ “ขยายพื้นที่” หลังจาก “หนัง / ละครย้อนยุค” และ “หนัง / ละครโรแมนติก” ของเกาหลีใต้ได้กรุยทางยึดครองพื้นที่ในใจอาณาประชาราษฎรทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยในทศวรรษก่อน ก็ถึงคราวของ “เกาหลีอย่างสากล” บ้าง หลังจากความสำเร็จของซีรีส์ Vagabond (2019) ได้สร้างภาพ Action – สืบสวนสอบสวนของบ้านเขาใหม่ และส่งสัญญาณความ “อินเตอร์” มากยิ่งขึ้นกันไปแล้ว

สิ่งเหล่านี้คงเห็นได้จากรสชาติของ ASHFALL ที่ยืนเส้นเรื่องบนเหตุการณ์พิบัติภัยภูเขาไฟระเบิดในแถบเกาหลีเหนือ ที่อาจจะส่งผลให้คาบสมุทรเกาหลีทั้งหมดหายวับไปในแผนที่โลก ได้ชวนให้เราคิดถึงหนัง Hollywood อย่าง The Day After Tomorrow (2004) และ 2012 (2009) พอๆ กับที่ปฏิบัติการเสี่ยงตายข้ามพรมแดนไปกู้มวลมหาประชาชนโครยอทั้งมวล ก็ชวนให้คิดถึง Armageddon (1998) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่แน่นอนเมื่อมีภาพที่ชวนให้คิดเห็นว่ามันซ้ำทางกับบ้านเมืองฝรั่งแบบนี้ โจทย์ (และอาจจะเป็นความตั้งใจ) ของผู้สร้าง ก็คือการทำให้รสชาติที่จะได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้เปลี่ยนไปจากที่เคย แล้วจะทำได้ด้วยอะไรล่ะ ? ก็จับความเป็นเอเชีย ความเป็นเกาหลีใส่มันลงไปไงล่ะ ! เพราะเส้นเรื่องของภาพยนตร์แนวนี้ของบ้านเมืองฝรั่งไม่ได้เข้มข้น ด้วยเหตุที่เขาเน้นเทคนิคพิเศษ ความตระการตาไงล่ะ นี่จึงเป็นโอกาสของเราแล้วชาวโสมขาวเอ๋ย ใส่บทและประเด็นต่างๆ ที่เป็นทางถนัดของเราลงไปสิ แล้วเติมซอสกิมจิ Drama ขยี้น้ำตาเข้าไปด้วยล่ะ !

แล้วคลุกเคล้าลงบนเส้นเหนียวนุ่มที่มีแฟนคลับหนึบหนับของดาราเกาหลีตัวพ่อตัวแม่อย่าง อี บยองฮอนในบท ลี จุนพยอง สายลับสองหน้า ผู้มีเบื้องหลังครอบครัวร้าวรานและต้องการทำทุกอย่างเพื่อจะได้เห็นลูกสาวของเขาอีกสักครั้ง ขับเคี่ยวกับ ฮา จองอู ในบท โจ อินชาง เจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดชาวเกาหลีใต้ที่ต้องกลายเป็นหัวหน้าปฏิบัติการขโมยหัวรบนิวเคลียร์เกาหลีเหนือไประเบิดภูเขาไฟก่อนที่ภูเขาไฟจะระเบิด ภายใต้กำกับการของ มา ดงซอก มาผู้รับบท ดร.คังบงแร นักธรณีวิทยาผู้คิดค้นทฤษฎีสุดโต่งนี้ โดยที่ไม่ลืมจะฉกตัวแม่ เบ ซูจี ที่ดังเปรี้ยงปร้างจากบท โก แฮริ แห่ง Vagabond มารับบท จียอง ภรรยาท้องแก่ของโจ อินชาง ให้เขาได้กู้เกาหลีเพื่อ Save the baby ของเขาเอง

ผลที่ได้คือ นอกจากความลุ้นระทึกของปฏิบัติการแล้ว สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ ประเด็นทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมของคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งทำได้ดีสมศักดิ์ศรีเช่นเคย

เราได้เห็นการแสดงความคิดของคนในบ้านเมืองเขาที่มีต่อสภาพการปกครอง จุดยืนทางการเมืองของเกาหลีใต้บนเวทีโลก ด้วยภาพสะท้อน (เน้นย้ำว่าที่เขาสะท้อนมาเองในเรื่องนะจ๊ะ เราไม่ได้เนียนเขียนเอง) ประธานาธิบดีของประเทศที่ถึงแม้จะมีความพยายามจะปกป้อง กล้าเสี่ยงเพื่อประชาชนถึงขนาดละเมิดกฏการข้ามพรมแดน แต่ความมุ่งมั่นนั้นกลับต้องติดเพดานด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่เหมือนกับจะต้องเป็นเมืองขึ้นโลกตะวันตกโดยพฤตินัย ด้วยกองทหารสหรัฐที่อยากจะเดินเข้าปฏิบัติการเขาก็เข้ามา (แล้วตอนแรกก็มาเพื่อจะปลดหัวรบนิวเคลียร์เกาหลีเหนือด้วยนะ) แล้วนี่ยังไม่รับนับประเด็นเรื่องการจัดการการอพยพของลุงแซมเขาอีกนะ

ภาพสะท้อนความรู้สึกของการเป็น “เหยื่อ” เมื่อสองอำนาจ “ประชาธิไตย” และ “สังคมนิยม” เลือกที่จะตีกันโดยมีบ้านเขาทั้งความสมุทรเป็นพื้นที่ระบายอารมณ์และแสดงอำนาจ เหมือนคนเกาหลีทั้งเหนือใต้ไม่มีความหมาย ประเทศที่เป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่โชซอนโบราณมาถูกตัดแบ่งโดยใครก็ไม่รู้ แล้วแยกเขาออกเป็นสองประเทศทั้งที่เขาเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ซึ่งซ่อนอยู่ในฉากแย่งชิงหัวรบนิวเคลียร์เพียงฉากเดียวที่กองกำลังจีนชายแดนเกาหลีเหนือ ตีกับกองกำลังสหรัฐอเมริกา โดยที่สายลับเกาหลีเหนือและทหารเกาหลีใต้เจ็บตัวทั้งคู่

ดังนั้นเรื่องตลกร้าย ที่สะท้อนผ่านการแก้ปัญหาของโจ อินชาง ที่เหมือนจะบอกว่า “อย่าประมาทชาวโครยอ ถ้าข้าบ้าก็บ้าสุดนะว้อย !” พอๆ กับความช่วยเหลือของประธานาธิบดีที่ส่งมาในยามคับขันเพื่อการขโมยช่องทางการสื่อสารกลับมา ซึ่งเหมือนจะบอกว่า “กดข้าได้ก็กดไป แต่ยังไงที่นี่ก็บ้านเมืองข้านะ !” ก็ส่งสัญญาณความคิด – ความจริงบางอย่างของชาวเกาลีออกมาอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรคงต้องตีตั๋วไปดูกันเอง เพราะเราจะไม่สปอยล์ไปมากกว่านี้

แล้วก็ยังประปรายไปด้วยมุกตลกและ Gimmick ฉบับเกาหลีที่จิกกัดสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเขากันเองได้อีกด้วยทั้งสายลับเกาหลีเหนือที่ดันอยากรู้ตอนจบละครเกาหลีใต้ในขณะที่ทหารเกาหลีใต้ดูแต่ซีรีส์อเมริกัน

นับได้ว่าเป็นก้าวใหม่ๆ ของวงการบันเทิงเกาหลีที่น่าจับตามองซึ่งถึงแม้จะยังไปไม่ได้ไกลแต่อย่างไรก็ได้เริ่มก้าวแรกที่ยังมีก้าวหน้าให้เก็บแผลและปรับรสชาติแปร่งๆ ที่ยังมีอยู่บ้างทั้งด้านเทคนิคพิเศษและความสมเหตุสมผลของบทในบางช่วงรวมไปทั้งความพยายามดึง Drama ในบางจังหวะที่มากเกินไปเพราะยังติดกับการทำงานในทางที่ตัวเองถนัดอยู่แม้ไม่ใช่ทรงหนังที่จะดูเอารางวัลแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว

หากเสาร์ – อาทิตย์ของคุณยังพอมีเวลาก็นับว่า ASHFALL นรกล้างเมือง เป็นหนึ่งในตัวเลือกของภาพยนตร์สุดสัปดาห์นี้ที่ไม่ว่าจะดูเอาบันเทิงดูเอาระทึกหรือดูเอาน้ำตาก็ยังตอบโจทย์สุดสัปดาห์ของคุณได้ดี

คะแนน 7.5 / 10

Pitirach Joochoy