ให้กำลังใจสาธารณสุข สู้ต่อกรณีเลิกแบน “สารพิษ”

ผมคงต้องเริ่มข้อเขียนของผมวันนี้ด้วยการกล่าวขอบคุณบุคคลจำนวนหนึ่งที่ผมมั่นใจว่าท่านมีความห่วงใยต่อชีวิตและสุขภาพของพี่น้องประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง

ได้แก่คุณหมอ 3 ท่าน และเภสัชกร 1 ท่าน ที่เป็นกรรมการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการวัตถุอันตรายของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับมติของกรรมการชุดดังกล่าวในการประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน

ที่พลิกมติเดิมจากการให้แบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด ที่จะมีผลในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 หรือเมื่อวานนี้ไปเป็นให้เลื่อนแบนสาร 2 ชนิดออกไปอีก 6 เดือน ส่วนอีก 1 ชนิดยังใช้ได้ต่อไปเพียงแค่จำกัดการใช้กับพืช 6 ชนิดเท่านั้น

คุณหมอทั้ง 3 ในฐานะผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขอันได้แก่ ท่านปลัดกระทรวง นพ.สุขุม กาญจนพิมาย, นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา

ส่วน 1 เภสัชกรก็คือ ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนายกสภาเภสัชกรรมที่ต่อมาได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นกรรมการและยืนยันว่าการลงมติครั้งนี้มิใช่ “เอกฉันท์” แต่เป็นภาวะจำยอมในการรับมติ

ทั้ง 4 ท่านได้ทำหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรีของ “แพทย์” และ “เภสัชกร” ที่ห่วงใยในชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างเต็มที่แล้ว แม้จะแพ้มติและถูกรวบหัวรวบหางว่าเป็นมติเอกฉันท์ แต่ทั้ง 4 ท่านก็ชนะใจ…ขอยํ้าอีกครั้ง…ชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

ส่วนกรรมการอื่นๆ จะมีเหตุผลอะไรอยู่ในใจจนถึงขั้นไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะมีต่อชีวิตของผู้บริโภค ผมไม่อาจคาดเดาได้

จะเป็นเพราะแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เคยส่งหนังสือมาถึงไทย และคนสำคัญของเขาคนหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่ารัฐบาลไทยจะต้องเลิกแบนสาร 3 ตัวนี้หรือไม่?

จะเป็นเพราะแรงกดดันจากกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่กล่าวเสมอว่าหากแบนสาร 3 ตัวนี้ก็จะไม่สามารถนำเข้าวัตถุดิบที่ต้องใช้ผลิตอาหารสัตว์จากต่างประเทศหรือไม่?

ลึกๆ อยากจะบอกว่าใช่ แต่เมื่อไม่มีใครแสดงความกล้าหาญออกมายอมรับ เราก็คงต้องเก็บความเคลือบแคลงสงสัยเหล่านี้ไว้ในใจ

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด แม้เหตุผลที่น่าเห็นใจคือความเดือดร้อนของเกษตรกรที่เมื่อไม่ใช้สาร 3 ตัวนี้แล้วจะทำการเกษตรด้วยความยากลำบาก และอาจกระทบถึงรายได้ของเกษตรกรนั้นๆ

ผมก็ยังเห็นว่า เราต้องให้ความสำคัญแก่ชีวิตและสุขภาพของคนไทยโดยรวมอยู่นั่นเอง…ชีวิตและความปลอดภัยของคนไทย “โดยรวม” จะต้องเป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนาประเทศชาติเหนือเป้าหมายอื่นๆ

ในความเห็นของผม “ชีวิตมนุษย์” ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ย่อมมีคุณค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทองหรือตัวเลขจีดีพีใดๆทั้งสิ้น

แต่ก็เอาเถอะเมื่อคณะกรรมการชุดนี้เขาคิดไปอีกอย่าง เราก็ปล่อยให้เขาคิดไป และทำในสิ่งที่เขาคิดไป

สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขและคณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ตลอดจนคุณหมอและเภสัชกร รวมทั้งผู้ห่วงใยชีวิตประชาชนทั้งหลายควรเดินหน้าต่อไป คือออกมาชี้แจง ออกมาร้องทุกข์กล่าวโทษ พร้อมหาหลักฐานมาสนับสนุนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ว่าสารทั้งหลายเหล่านี้คือสารมหาภัยที่แท้จริง

ให้ประชาชนรู้ ให้ประชาชนเข้าใจอย่างลึกซึ้งและกว้างขวางยิ่งขึ้น

ในที่สุดประชาชนนี่แหละครับที่จะออกมาแสดงพลังของเขาด้วยการไม่ซื้อ ไม่สนับสนุนผลผลิตที่มีสารตัวร้ายทั้ง 3 เข้าไปเกี่ยวข้อง

รวมทั้งประชาชนที่ปลูกที่ผลิตสินค้าการเกษตรทุกชนิดด้วย ถ้าเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ใช้อยู่มีผลร้ายต่อทั้งตัวเขาเองต่อญาติมิตรข้างเคียงของเขา และต่อเพื่อนๆชาวไทยของเขาละก็

ผมมั่นใจว่า เขาจะเลิกทำ เลิกใช้สารเหล่านี้ เพราะไม่มีคนไทยแท้ๆ คนไหนหรอกที่จะมีความสุข ถ้าเขารู้ว่าเงินทองที่เขาได้มาใช้จ่ายนั้นมาจาก “ชีวิต” ของผู้คนรอบๆ ตัวเขา

สู้ต่อไปนะครับท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขและคุณหมอทุกๆ ท่าน ผมขอฝากความหวังไว้ที่ท่านทั้งหลายนี่แหละ…ไม่ฝากไว้กับนักการเมืองหรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่สู้จริง!

“ซูม”