ยืนยัน “จับตา” ใกล้ชิด กรณี “ทุนจีน” ซื้อ “มหาวิทยาลัยไทย”

เมื่อ 2-3 วันก่อนผมหยิบประเด็นว่าด้วยเรื่องทุนจีนจะเข้ามาซื้อมหาวิทยาลัยเอกชนเมืองไทย พร้อมกับฝากความห่วงใยเอาไว้ 2-3 ข้อ ขอให้ท่านรัฐมนตรีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรุณาช่วยตอบด้วย

ปรากฏว่าท่านตอบคำถามเหล่านั้นแล้วครับ และก็ตอบในวงกว้าง คือ แถลงข่าวผ่านผู้สื่อข่าวประจำกระทรวง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

หนังสือพิมพ์และสำนักข่าวเว็บไซต์ลงกันหลายฉบับ รวมทั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน ที่ลงไว้ในหน้า 12 ดังรายละเอียดบางส่วนที่ผมขออนุญาตคัดลอกมาลงดังต่อไปนี้

“ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ตนได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องที่มีกลุ่มทุนจีนเข้ามาซื้อกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของไทย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีทุนจีนเข้ามาถือหุ้นสถาบันอุดมศึกษาของไทยประมาณ 2-3 แห่งเท่านั้น

ยังไม่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เนื่องจากนิติบุคคลที่ขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันการศึกษาเป็นบริษัทของไทย แต่จีนเข้ามาถือหุ้น ขณะที่เรื่องกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินยังคงเป็นของมหาวิทยาลัย

รมว.อว.กล่าวต่อว่า แต่ อว.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้วางแผนรับมือกับเรื่องดังกล่าว โดยได้ตั้งคณะทำงานเฝ้าระวัง โดยมีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อาทิ อว. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น เป็นคณะทำงานเบื้องต้น

ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้เน้นเรื่องของการกำกับดูแลเรื่องคุณภาพมาตรฐานการจัดการศึกษาภายใต้กฎหมายอุดมศึกษา เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และมาตรฐานการศึกษาของไทย และกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ต้องเข้าไปกำกับดูแลเรื่องมาตรฐานของสถาบันเหล่านั้น รวมทั้งต้องประสานกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องกระบวนการออกวีซ่านักศึกษาต่างชาติ และประสานกระทรวงแรงงาน เรื่องการลักลอบทำงาน เช่น ร้านขายอาหาร ขายของตามพื้นที่ต่างๆ หรือทำธุรกิจในไทยอย่างใกล้ชิด”

ผมต้องขอขอบคุณท่านรัฐมนตรี สุวิทย์ เมษินทรีย์ ที่กรุณาชี้แจงรายละเอียดในเกือบทุกประเด็นที่หลายๆ ฝ่ายรวมทั้งผมด้วยตั้งคำถามไว้ด้วยความห่วงใย

สำหรับผมเองนั้นได้เรียนแล้วว่า ไม่มีความรู้และไม่มีข้อมูลพอที่จะบอกได้ว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสียต่อเศรษฐกิจสังคมการเมือง และความมั่นคงของประเทศอย่างไรบ้าง เพราะการเชิญชวนนักศึกษามาเรียนในประเทศของตนนั้น ผมก็เห็นหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาทำกัน

ทุกๆ ปีจะมีการมาจัดนิทรรศการ หรือจัดงานเชิญชวนนักศึกษาไทยให้ไปเรียนสหรัฐอเมริกาบ้าง อังกฤษบ้าง หลายครั้งหลายหน เพราะเขาถือว่าการเข้าไปเรียนต่อของเด็กต่างชาติในบ้านเขาก็เหมือนนักท่องเที่ยวที่หอบเงินไปเที่ยวไปใช้ภายในบ้านเขานั่นเอง

เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กจะต้องหอบเงินไปจ่ายในบ้านเขาก้อนใหญ่ นอกจากค่าเล่าเรียนซึ่งแพงมาก ยังมีค่าที่พัก ค่าหนังสือ ค่าอาหารการกิน

ขณะเดียวกัน เขาก็มั่นใจในประสิทธิภาพของ “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ของเขาว่าจะดูแลควบคุมเรื่องลักลอบทำงาน หรือเรียนจบแล้วไม่กลับประเทศ แอบซ่อนตัวอยู่ต่ออย่างถาวร ฯลฯ ได้เป็นอย่างดียิ่ง จึงสนับสนุนให้มีการเชิญชวนนักเรียนต่างชาติไปเรียนที่เขามากๆ

ดังนั้น เมื่อมีข่าวว่าเราจะเชิญชวนนักศึกษาจีนหรือชาติอื่นๆ มาเรียนในบ้านเราเยอะๆ จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหาย และควรจะทำด้วยซ้ำไป

แต่มาเอะใจตรงที่ของชาติที่เอ่ยถึงนี้เขาลงทุนทำมหาวิทยาลัยของเขาเอง ไม่เคยมีข่าวว่า ทุนจากเมืองนอกที่ไหนเข้าไปซื้อแต่อย่างไร ต่างกับของเราที่มีข่าวออกมาว่า ทุนจีนเข้ามาซื้อไป 2-3 แห่งแล้ว

ผมจึงบอกว่าผมวิเคราะห์ไม่ถูกแล้วละแบบนี้ ฝากให้ท่านรัฐมนตรีช่วยวิเคราะห์แทนด้วย เมื่อได้รับคำตอบว่าท่านรัฐมนตรีกำลังดูแลอย่างใกล้ชิด ผมก็เบาใจขึ้นเยอะ

แต่ก็นั่นแหละครับ จะให้เบาใจถึงขั้นนอนหลับสนิท ก็คงไม่ได้หรอก เพราะ “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ของเรา ไม่ว่ากระทรวงแรงงาน, ตม. หรือตำรวจ มีประสิทธิภาพแค่ไหน เราก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว

จะควบคุมดูแลนักศึกษาจีนเรือนหลายพันคน ที่อาจจะเป็นเรือนหมื่นหรือหลายหมื่นคนในอนาคตให้กลับบ้านหมดทุกคนเวลาเรียนจบ และไม่ให้ออกไปหางานทำแย่งคนไทยระหว่างเรียนได้ไหมครับเนี่ย?

“ซูม”