ผมได้ยินชื่อเสียงของประเทศฟินแลนด์มานานมาก โดยเฉพาะเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง สำนักข่าวทุกสำนักรายงานว่าสหประชาชาติได้ประกาศรายชื่อประเทศที่มีความสุขของโลกออกมาอีกครั้ง ปรากฏว่าประเทศที่ประชาชนมีความสุขมากที่สุดในโลกของปี 2019 ได้แก่ฟินแลนด์
นี่ไม่ใช่ปีแรกที่ฟินแลนด์คว้าตำแหน่งแชมป์โลกแห่งความสุขมาครอง แต่เป็นปีที่สองติดต่อกัน เพราะเมื่อปี 2018 ก็ได้มาหนหนึ่งแล้ว
นอกจากนี้ ผมยังได้ยินข่าวอีกว่า ประเทศนี้เป็นประเทศที่ “การศึกษา” ดีที่สุดในโลก จากการรายงานข่าวของเว็บไซต์เวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
เขาบอกว่าจากการสุ่มนำเด็กอายุ 15 ปีจากทั่วโลกมาสอบวัดผลด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่านในการทดสอบ ที่เรียกย่อๆ ว่า PISA ผลปรากฏว่าเด็กฟินแลนด์ทำคะแนนยอดเยี่ยมเหนือสหรัฐฯ, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และจีน มาหลายปีติดๆ กัน
ด้วยกิตติศัพท์ของฟินแลนด์ใน 2 เรื่องนี้เอง ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้รับจดหมายเชิญจาก บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ให้ไปศึกษาดูงานด้านพลังงานสะอาด หรือพลังงานสีเขียวของประเทศนี้
จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไงละครับ เพราะโอกาสที่จะได้ไปดูไปเห็นประเทศที่เป็น “แชมป์โลก” ถึง 2 อย่างเช่นนี้ คงหาไม่ได้อีกแล้ว
ก่อนจะคุยกันถึงเรื่อง “พลังงาน” เรามาคุยกันถึงเรื่อง “ความสุข” กันก่อนว่าจริงไหม? ที่สหประชาชาติเขาจัดให้ฟินแลนด์เป็นประเทศที่ “ฟิน” หรือมีความสุขที่สุดในโลก?
รายงาน World Happiness Report จัดทำโดย U.N. Sustainable Development Solutions Network ใช้ปัจจัย 7 ปัจจัยเป็นเครื่องวัดความสุขโดยรวมของประเทศทั่วโลกรวม 156 ประเทศด้วยกัน
เริ่มด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัว, การสนับสนุนทางสังคม, สุขภาพและความยืนยาวของอายุขัย, ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในสังคม, เสรีภาพในการใช้ชีวิต, อัตราคอร์รัปชัน และความเสมอภาค
เอาคะแนนใน 7 หมวดมาหาค่าเฉลี่ยกันแล้ว 5 ประเทศได้คะแนนสูงสุดของปี 2019 ได้แก่ 1.ฟินแลนด์ 2.เดนมาร์ก 3.นอร์เวย์ 4.ไอซ์แลนด์ และ 5.เนเธอร์แลนด์
ประเทศใหญ่อย่างอังกฤษอยู่อันดับ 15, สหรัฐฯ อันดับ 19, สิงคโปร์ อันดับ 34 ดีสุดในอาเซียน, ไทยเราอยู่อันดับ 52 (ร่วงมาจากอันดับ 46 ปีก่อนหน้านี้) แต่ก็ยังเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน
ผมไปอยู่ในฟินแลนด์ 4 วันกับ 4 คืน ปักหลักที่เมือง เฮล ซิงกิ เมืองหลวงแบบ SME คือเป็นเมืองเล็กๆ นั่งรถวนไปวนมาเดี๋ยวเดียวก็รอบ มีประชากรแค่ล้านกว่าคน
ถามว่าสวยไหม? ก็ต้องตอบว่า เป็นเมืองที่สวยเอาการอยู่ เพราะอยู่ติดกับทะเล มีเกาะเล็กๆ ล้อมรอบหลายสิบเกาะ อากาศก็ดีมากๆ ยิ่งตอนผมไปอุณหภูมิแค่ 7-8 องศาตอนกลางคืน และ 13-14 องศาตอนกลางวัน ถือว่าเย็นสบาย ใส่แจ็กเกตหนาๆหน่อยก็เอาอยู่แล้ว
ผู้คนเท่าที่เห็น เดินผ่านไปมาและที่พูดคุยด้วยก็ดูมีความสุข มีความจริงใจ น่าจะมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สูงอย่างที่สถิติบอกไว้
ที่สำคัญประเทศเขามีป่าไม้มากถึง 70 เปอร์เซ็นต์กว่าของพื้นที่ประเทศ คนที่อยู่กับความเขียวเยอะๆ ส่วนมากจะมีความสุขกว่าคนอยู่ในที่แห้งแล้ง
ภาษีของเขาแม้จะแพงมาก แต่รัฐสวัสดิการก็ดีมาก ได้รับการดูแลจากรัฐตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงแก่ คุ้มค่าภาษีว่างั้นเถอะ
เพราะฉะนั้น ถ้าวัดด้วยตัวชี้วัด 7 ข้อของสหประชาชาติข้างต้น ก็น่าจะเชื่อได้ว่า คนของเขามีความสุขจริง
แต่ในทรรศนะคนไทยซึ่งอาจมีดัชนีความสุขที่ไม่เหมือนใครอื่น เช่นที่นี่ไม่ค่อยมีบาร์ ไม่มีผู้หญิงหน้าบาร์ ค่ำแล้วเงียบมาก ที่ช็อปปิ้งก็น้อยไปหน่อย มีศูนย์การค้าใหญ่ๆ ไม่กี่แห่ง มองในสายตาคนไทยที่ชอบสนุกสนานอาจไม่เชื่อว่าที่นี่มีความสุขสูงสุด
คนไทยจึงไปเที่ยวฟินแลนด์ไม่มากนัก และนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ก็ยังไม่ค่อยมาก
สำหรับผม…ผมว่าโอเคนะ 4 คืนที่ผมอยู่ที่โน่น ออกมาเดินสวนสาธารณะทุกคืน (เพราะ 2 ทุ่มยังไม่มืด) เสร็จแล้วก็กลับมานั่งเฮฮากับน้องๆ สื่อมวลชนที่ริมถนนหน้าโรงแรมถึง 3 คืน ร้องเพลงกันอย่างสนุก โดยไม่มีใครมาขว้างขวดประท้วง…มีแต่ยิ้มให้พวกเราเวลาเดินผ่าน
เอาเป็นว่าเชื่อยูเอ็นไว้ก่อนละกันว่าประเทศนี้น่าจะมีความสุขจริงๆ อย่างที่เขาให้คะแนน.
“ซูม”