และแล้ว “เฮลโลคิตตี้” ก็อำลา “สยามสแควร์”

หัวหน้าทีมซอกแซกเปิดเฟซบุ๊กของร้าน “ซานริโอ เฮลโลคิตตี้ เฮาส์ แบงค็อก” (Sanrio Hello Kitty House Bangkok) ซึ่งเป็นร้านของ Hello Kitty ประจำประเทศไทยที่ตั้งอยู่ที่ “สยามสแควร์ 1” ย่านสยามสแควร์แล้วก็ใจหายวูบ

เพราะขึ้นด้วยคำประชาสัมพันธ์เอาไว้บนหน้าแรกเลยว่า “เชิญชวนทุกท่านมาร่วมงาน Farewell ร้านครั้งสุดท้าย ในวันศุกร์ที่ 26-อาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2562 และพบกับสินค้าลดสูงสุดถึง 80 เปอร์เซ็นต์”

นี่แปลว่าจะบอกลาปิดร้านกันแล้วใช่ไหมเนี่ย และเมื่อทีมงานซอกแซกโทรศัพท์ไปตรวจสอบข้อมูลก็ทราบมาว่า จะปิดร้านแล้วจริงๆ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเลย เพราะดูในเฟซเมื่อ 4-5 วันก่อนยังชวนแฟนคลับไปบริจาคโลหิตให้สภากาชาดอยู่หลัดๆ มาวันนี้ขึ้นถ้อยคำบอกลาเสียแล้ว

ใจหายเลยจริงๆ เพราะหัวหน้าทีมซอกแซกเพิ่งจะพาหลานไปเยี่ยมชม และอุดหนุนอาหารว่างหนึ่งมื้อเมื่อ 3 เดือนที่แล้วนี่เอง แต่ที่ไม่ได้เขียนถึงเพราะกลัวว่าจะเชย เนื่องจากร้านเขาเปิดมาตั้งนานแล้ว ทำไมมาเขียนตอนนี้

ซึ่งก็ถือว่าโชคดีไป เพราะถ้าเขียนซะตอนนั้นแต่อีก 3 เดือนให้หลังร้านปิดคงจะมีคนกล่าวหาว่า ทีมงานซอกแซกเป็นตัวอับโชคแน่ๆ เพราะเขียนแล้วทำให้ร้านเขาปิด

ลองพลิกปูมย้อนหลังกลับไปก็พบหลักฐานที่มีการโพสต์ไว้ใน Pantip ว่า ร้าน ซานริโอ เฮลโลคิตตี้ เฮาส์ แบงค็อก แห่งนี้ทำพิธีเปิดใหญ่โตมาก เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557

มีผู้หลักผู้ใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 มากันเพียบเลย เห็นคุณ ประวิทย์ มาลีนนท์ ในหลายๆ ภาพที่โพสต์ไว้ และเห็นโฆษกพิธีกรและดาราในสังกัดช่อง 3 เอี้ยดไปหมด

ถ้าบันทึกที่ทีมงานซอกแซกค้นเจอนั้นถูกต้อง ก็แสดงว่า เฮลโลคิตตี้ร้านนี้เปิดมาใกล้จะครบ 5 ปี ขาดเพียงไม่กี่วัน

เพราะถ้าปิดร้านในวันที่ 28 ก.ค. ก็เท่ากับว่า อีกเพียง 11 วันเท่านั้นก็จะครบ 5 ปี ในวันที่ 8 สิงหาคม 2562 ที่จะถึง

บนเส้นทาง 5 ปี พบว่ามีผู้ไปเที่ยว ไปกิน ไปซื้อ ของไปรีวิวเอาไว้มากมาย

ส่วนใหญ่จะบอกว่าร้านสวยมาก สีชมพูจ๋าเลย สวยและน่าดูชมทั้ง 3 ชั้น มีเรื่องมีราวและมีสินค้าคิตตี้ที่น่ารักน่าซื้อวางขายอยู่ในทุกชั้น

แต่เสียงส่วนใหญ่เช่นกันที่ติงว่า ข้าวของราคาแพงจัง ซื้อได้แต่ของชิ้นเล็กๆ พอเป็นที่ระลึกเท่านั้น

สำหรับอาหารนักรีวิวจะยกให้ว่า มีของหวานที่น่ากินและอร่อยติดอันดับ โดยเฉพาะ เรนโบว์ เครปเค้ก หรือเค้กสายรุ้งได้รับความนิยมสูงสุด สนน ราคาชิ้นละ 125 บาท

ส่วนของทีมงานซอกแซกจำไม่ได้แล้วว่า สั่งอะไรมารับประทานกันบ้าง จำได้แต่ว่าอย่างหนึ่งเป็นอาหารกล่อง ที่หลานสาวชอบมาก ไม่ใช่ชอบอาหารข้างในหรอก แต่ชอบกล่องที่มีรูปคิตตี้สวยงามเอากลับบ้านได้ และหิ้วใส่อะไรก็ตามไปโรงเรียน เพื่อนๆ ต้องกรี๊ดแน่นอน

ครอบครัวซอกแซกของเราใช้เวลาทั้งนั่งรับประทาน เดินดูชั้นต่างๆ 2-3 รอบ เพราะหลานชอบมากใช้เวลาประมาณ 45 นาที เห็นจะได้จ่ายค่าอาหารไป 1,600 บาท

นอกจากการรีวิวของนักท่องเที่ยว นักเปิบหรือแฟนๆ เฮลโลคิตตี้ชาวไทยเราแล้ว ร้านที่สยามสแควร์ 1 ยังได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวจีน ให้เป็นร้านยอดนิยมแห่งปี 2017 มีประกาศนียบัตรภาษาจีนติดเอาไว้ให้เห็นชัดเจน แสดงว่านักท่องเที่ยวจีนคงจะเป็นลูกค้าหลักกลุ่มหนึ่งของร้านนี้

ท่านผู้อ่านคงจะทราบกันดีแล้วว่า เฮลโล คิตตี้ คือตัวละครที่ออกแบบเป็นตัวการ์ตูนที่สร้างขึ้นโดยบริษัทซานริโอของญี่ปุ่น ออกแบบครั้งแรกโดยนักออกแบบที่ชื่อยูโกะ ชิมิชุ ที่วาดเป็นภาพแมวญี่ปุ่นเพศเมียสีขาวติดโบสีแดง

ปรากฏตัวครั้งแรกในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งของญี่ปุ่น เมื่อปี ค.ศ.1974 หรือ พ.ศ.2517 จากนั้นก็ส่งไปออกอากาศจนโด่งดังมากที่สหรัฐฯในอีก 2 ปีต่อ ก่อนจะเผยแพร่ไปทั่วโลก

จริงๆ แล้วเฮลโลคิตตี้เป็นคนไม่ใช่แมว บริษัทซานริโอผูกเรื่องให้เธอเกิดที่ชานเมืองลอนดอน ในชื่อว่า คิตตี้ ไวท์ มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายในสกุล ไวท์ ครบถ้วน ภาพลักษณ์ที่สร้างไว้ก็คือ เธอมีความสูงเท่ากับแอปเปิ้ล 5 ผล และน้ำหนักเท่ากับแอปเปิ้ล 3 ผล เป็นเด็กหญิงที่สดใสร่าเริงและใจดี

เหตุที่ต้องไปสร้างเรื่องให้เธอเป็นชาวอังกฤษก็เพราะคนญี่ปุ่นยุคนั้นมักนิยมตะวันตกอยู่พอสมควร หากบอกว่าคิตตี้เป็นญี่ปุ่นอาจไม่ดังเท่า จึงสมมติให้เป็นเด็กอังกฤษไปเสียและเมื่อมาเปิดตัวในญี่ปุ่นก็ดังจริงๆ

ทีนี้พอดังในญี่ปุ่นก็ส่งออกไปดังต่อที่อเมริกาและทั่วโลก จนทำให้ยอดผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับคิตตี้และมูลค่าการตลาดของแม่หนูน่ารักพุ่งพรวดถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 150,000 ล้านบาท ในปี 2010 (คิตตี้อายุ 36 ปี) และกลายเป็น 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 210,000 ล้านบาท ในปี 2014 (คิตตี้อายุ 40 ปี)

ทุกวันนี้นอกจากมีผลิตภัณฑ์ มีการนำเธอไปใช้เป็นสัญลักษณ์หรือแบบโฆษณาโน่นนี่ต่างๆ แล้ว ยังมีสวนสนุก 2 แห่งในญี่ปุ่น ที่จัดธีมไว้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเฮลโลคิตตี้

จากประวัติและความโด่งดังข้างต้นนี้ จึงไม่แปลกอะไรที่เมื่อตอนเปิดร้านคิตตี้ในเมืองไทย ผู้คนจึงแน่นมาก และต่อมานักท่องเที่ยวจีนก็มาเที่ยวแน่นมาก จนโหวตให้เป็นร้านป๊อปปูลาร์ร้านหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีนในไทย

จึงน่าเสียดายที่ร้านใหญ่ในประเทศไทยจะปิดตัวเสียแล้ว หลังจากเปิดมาเกือบจะครบ 5 ปี อย่างที่ว่า…จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่เถอะ ทีมงานซอกแซกขอแสดงความอาลัยและความคิดถึงเป็นอย่างยิ่งไว้ด้วย ณ ที่นี้

อาลัยเฉพาะร้านนะครับ แต่ตัวคิตตี้เอง สินค้ากระจุกกระจิกของคิตตี้ที่กระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ หรือตามตลาดนัดต่างๆ ทั้งที่จ่ายลิขสิทธิ์และไม่ได้จ่ายลิขสิทธิ์คงจะอยู่คู่ประเทศไทยไปอีกนานแสนนาน…

“ซูม”