เหตุผลที่รอ “รัฐบาลใหม่” ด้วยใจจดจ่อและ “ตื่นเต้น”

มีรายงานข่าวว่ารายชื่อรัฐมนตรีที่บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ส่งเข้าร่วมเป็นรัฐบาลในยุค “นิวตู่” ไปอยู่ในกำมือบิ๊กตู่เรียบร้อยแล้ว

น่าจะอยู่ในระหว่าง “สแกน” หรือตรวจสอบประวัติว่าจะมีคุณสมบัติข้อใดขาดตกบกพร่องจนไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ 2560 หรือไม่เท่านั้น

คาดว่าบิ๊กตู่จะสามารถกลั่นกรองและตัดสินใจนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้หลังการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศไทยของเราจะเป็นเจ้าภาพในระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายน

นับจากวันนี้ไปก็เหลืออีกเพียงไม่กี่วันแล้วล่ะ

ถามว่าจากรายชื่อที่แพลมๆ ออกมานี้ผมรู้สึกอย่างไรบ้างกับรัฐบาลใหม่ในอนาคต? มีความหวัง มีความพอใจ หรือไม่พอใจอย่างไร?

ผมก็คงต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ค่อยพอใจครับ และไม่ค่อยมีความหวังหรือความเชื่อมั่นอะไรมากนัก

เพราะชื่อชั้นและฝีมือของรัฐมนตรีหลายๆ คนที่จะมาว่าการกระทรวงสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ผมว่าจะต่ำกว่ามาตรฐานที่ประเทศไทยของเราเคยมีมาในอดีตอยู่บ้าง

แต่ผมก็ยินดีต้อนรับครับ และพร้อมจะให้กำลังใจในการทำงานของรัฐมนตรีทุกๆท่าน แม้ว่าจะต่ำกว่ามาตรฐานไปบ้างก็ตาม

เหตุที่ผมยินดีต้อนรับก็เพราะรัฐมนตรีส่วนใหญ่มาจากพรรคการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วจากประชาชนชาวไทย

จะเก่งไม่เก่งอย่างไรก็เป็นผลพวงของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแม้จะเพียงครึ่งใบ แต่ในความเห็นผมอย่างไรเสียก็ดีกว่าระบอบเผด็จการเต็มใบแน่นอน

อะไรที่พอจะกล้ำกลืนยอมรับได้ก็จะกล้ำกลืนไว้เพื่อรอความหวังที่ดีกว่านี้ต่อไปในวันข้างหน้า

เหนืออื่นใดที่ผมรอคอยรัฐบาลใหม่ด้วยใจจดใจจ่ออย่างยิ่ง น่าจะอยู่ที่เงื่อนไขสำคัญของบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญฉบับนี้เสียมากกว่า

ที่ระบุไว้ว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และอำนาจพิเศษทั้งหลายที่เคยมีอยู่นับตั้งแต่การยึดอำนาจเมื่อ 5 ปีก่อนจะสิ้นสุดลง ในวันที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่

ซึ่งการเข้ารับหน้าที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคณะรัฐมนตรีทั้งชุดได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วันเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์จึงเป็นวันสำคัญยิ่ง…แม้ตัวหัวหน้ารัฐบาลจะเป็นคนเดิม แต่อำนาจของหัวหน้ารัฐบาลจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว… เพราะจะไม่มีโอกาสใช้อำนาจพิเศษสั่งโน่นสั่งนี่ตาม ม.44 ได้อีก

นาทีที่คณะรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนเสร็จเรียบร้อยจึงเป็นนาทีที่คนรักและนิยมระบอบประชาธิปไตยทุกคนรอคอย

ผู้ที่จะต้องปรับตัวมากที่สุด ปรับทั้งวิธีคิด วิธีปฏิบัติ วิธีทำงาน วิธีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก็คือ “บิ๊กตู่” นั่นแหละครับ

เพราะจากคนที่เคยมีอำนาจอย่างมากอยู่ในมือ จะกลายเป็นบุคคลที่แม้จะมีอำนาจอยู่ เพราะคนเป็นถึงนายกรัฐมนตรียังไงๆ ก็มีอำนาจ

แต่การใช้อำนาจในระบบใหม่นี้จะต้องมีกฎ มีเกณฑ์ มีกรอบมีขั้นตอนให้ปฏิบัติ ไม่สามารถจะสั่งตูมตามแล้วสัมฤทธิผล หรือกลายเป็นกฎหมายทันทีแบบที่ท่านทำมากว่า 5 ปีเต็มๆ ได้

ถ้าจะว่าไปท่านก็ดูเหมือนจะปรับตัวปรับใจเตรียมตัวล่วงหน้าอยู่แล้วล่ะ จากท่าทีการให้สัมภาษณ์หรือการพูดจาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนลงในระยะหลัง

โดยความเห็นส่วนตัวของผม…ในฐานะคนที่เติบโตมากับอำนาจเผด็จการหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่ยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมาจนถึงล่าสุด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

ผมก็เห็นว่าสมัยท่านนี่แหละที่ใช้อำนาจเด็ดขาดอย่างอะลุ่มอล่วยที่สุด แม้จะใช้มากที่สุดก็ตาม

ไม่มีการใช้เพื่อยิงเป้า หรือเพื่อจับคนที่เห็นต่างทางการเมืองเข้าคุกเข้าตะรางขังลืมอย่างสมัยก่อนๆ…อย่างเก่งก็เชิญไปปรับทัศนคติ 2-3 วันตามค่ายทหารแล้วก็จบกัน

เป็นเผด็จการที่มีการ “ปฏิรูป” ไปบ้างแล้วว่างั้นเถอะ

แต่ไม่ว่าอย่างไร แม้จะดีกว่าเผด็จการยุคเก่าเยอะ…ยังไงๆ ก็ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะครับ “ลุงตู่” อย่าได้หวนกลับมาอีกเลย.

“ซูม”