คู่แข่ง “ท่องเที่ยว” ในอนาคต สัญญาณเตือนจากเวียดนาม

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมนั่งดูการแข่งขันรถยนต์สูตร 1 หรือฟอร์มูล่าวัน สนามสุดท้าย ที่เคเบิลทีวี ทรูวิชั่นส์ ถ่ายทอดสดจากกรุงอาบูดาบี ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ดูแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าอีก 2 ปีข้างหน้า คือปี 2020…การแข่งขันรถยนต์สูตร 1 จะมาแข่งที่ เวียดนาม ด้วย 1 สนามครับ

ข่าวนี้ดังขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งผมควรจะได้เขียนถึงตั้งแต่ตอนนั้น แต่คงเพราะมีเรื่องให้เขียนหลายเรื่องเลยลืมเรื่องรถสูตร 1 ไปเสียสนิท

ดังนั้น เมื่อมีโอกาสดูการแข่งขันนัดสุดท้ายแห่งปี เมื่อวันอาทิตย์ ผมจึงนึกขึ้นมาได้ และรีบหยิบมาเขียนในทันทีทันใด

เพื่อผสมผสานไปกับข่าวรายได้การท่องเที่ยวในประเทศไทย ตกต่ำลง เพราะทัวร์จีนลดลงจนต้องมีการออกมาตรการไม่เก็บค่าธรรมเนียม วีซ่า ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเหมือนเดิมในขณะนี้

ซึ่งข่าวล่าสุดว่าเริ่มกระเตื้องขึ้นบ้าง แต่จะกระเตื้องมากเท่าเก่าได้หรือไม่? ยังเป็นเรื่องที่จะต้องลุ้นกันต่อไป

ผมก็เพียงแต่จะนำข่าวการเป็นเจ้าภาพรถ F1 ของเวียดนามมาบอกเล่าให้ท่านรัฐมนตรีการท่องเที่ยวและกีฬาได้ตระหนักอีกครั้งหนึ่ง เพราะผมเชื่อว่าท่านคงตระหนักแล้วตั้งแต่มีข่าวครั้งแรกๆ ว่า “ธุรกิจการท่องเที่ยว” ซึ่งเป็นพระเอกตลอดการในการหารายได้เข้าประเทศไทย กำลังจะเจอศึกใหญ่แน่นอนจากข่าวที่ว่านี้

ศึกทัวร์จีนลดลงก็คงหนักหนาอยู่แล้ว…แต่ศึกจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม-กัมพูชา และอาจจะรวมลาวด้วยที่เขาก็ชูการท่องเที่ยว ขึ้นมาเป็นพระเอกเช่นกัน จะทำให้งานของท่านและรัฐมนตรีท่องเที่ยวที่จะมาในอนาคตต้องเหนื่อยขึ้นอย่างแน่นอน

เพราะการที่เวียดนามวิ่งเต้นไปยังคณะผู้จัดแข่งขันรถสูตร 1 จนได้รับการบรรจุให้เป็น 1 ในการสนามการแข่งขันของปี 2020 แสดงว่า “เขาพร้อมแล้วที่จะสู้” กับทุกประเทศในเรื่องท่องเที่ยว

การแข่งขันรถสูตร 1 ถือเป็นสูตรในการพัฒนาท่องเที่ยวของประเทศ กำลังพัฒนามาโดยตลอด

ท่าน มหาธีร์ โมฮัมหมัด ซึ่งตัดสินใจประกาศนโยบายการท่องเที่ยวมาเลเซียเมื่อหลายปีก่อนโน้น ก็ไปวิ่งเต้นมาแล้วถึงขนาดที่ท่านออกเดินทางไป พบกับคณะผู้จัดแข่งขัน F1 ด้วยตัวท่านเองเลย

ไม่เพียงไปขอเป็นเจ้าภาพรถสูตร 1 ท่านมหาธีร์ยังสร้างตึกแฝดที่เคยสูงสุดในโลก อย่าง เปโตรนาส เพื่อเป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสู่มาเลเซีย และอื่นๆ อีกหลายนโยบาย ทำให้กิจการท่องเที่ยวมาเลเซียดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

ระยะหลังๆ มาเลเซียเลิกการแข่งขันรถสูตร 1 ไปแล้ว กลายเป็น สิงคโปร์ ไปเอามาจัดแทน โดยใช้เกาะสิงคโปร์และเมืองสิงคโปร์ทั้งเมืองเป็นสนามแข่งขันแถมแข่งกลางคืนด้วยโด่งดังที่สุดในช่วงนี้

จริงๆ แล้วก็ใช่ว่า F1 จะทำกำไรให้แก่ประเทศเจ้าภาพเสมอไป เพราะการลงทุนสูงมาก ถ้ากำไรจริงมาเลเซียคงไม่เลิกแน่นอน ดังนั้นที่เวียดนามเขาหันมาใช้ F1 เป็นหัวหอกเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จ

แต่อย่างน้อย F1 นั้นเป็น “สัญลักษณ์” ของการท่องเที่ยวและเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกว่า “ฉันจะเอาจริงในเรื่องท่องเที่ยวแล้วนะเฟ้ย”…นี่ต่างหากที่ผมเห็นว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่ส่งมาจากเวียดนาม

และเป็นเครื่องเตือนว่าเราจะประมาทเพื่อนบ้านเรามิได้เลยนับจากนี้เป็นต้นไป

คุณ สุภชัย วีระภุชงค์ หรือคุณอ๊อด ทิฟฟี่ ผู้ผลิตยาแก้หวัดชื่อดังและไปลงทุนในอินโดจีน จนทิฟฟี่พลอยโด่งดังไปด้วยใน 2 ประเทศดังกล่าวเคยบอกผมว่าเพื่อนบ้านเรากำลังเร่งพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างหนัก

นอกจากที่เวียดนามแล้ว ที่เขมรเองก็มีการลงทุนสร้างรีสอร์ตที่ เกาะกง และ สีหนุวิลล์ โดยร่วมทุนกับนักลงทุนจีน ซึ่งแน่นอนอีกหน่อยก็คงจะดึงนักท่องเที่ยวจีนไปที่นั่นในจำนวนที่มากขึ้น

ผมถึงได้บอกว่าเส้นทางการหารายได้ด้วยการท่องเที่ยวของไทยในอนาคตคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นัก เมื่อเพื่อนบ้านเราต่างพร้อมแล้วที่จะมาเป็นคู่แข่งด้วย

โดยส่วนตัวผมก็ยังเชื่อว่าด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวและอะไรต่ออะไรของเราหลายอย่างยังคงมีเสน่ห์อยู่ และก็คงจะสู้เขาได้ในที่สุด

เพียงแต่จะต้องเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้นแหละครับ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน.

“ซูม”