รีวิว “Robin Hood (2018)” พยัคฆ์ร้ายโรบินฮู้ด 8/10

อีโมไปดูมาแล้วนะคะสำหรับภาพยนตร์ในตำนานอย่าง “Robin Hood” ที่นำกลับมาทำซ้ำอีก ซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่สามารถนับได้เพราะเยอะเสียเหลือเกิน

แต่ในครั้งนี้อีโมต้องบอกเลยนะคะ ว่าเป็นการตีความ “โรบินฮู้ด” ไปในอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างจากทุกๆ ครั้งในอดีตที่ผ่านมา คือบอกได้เลยว่าให้ลืมโรบินฮู้ดเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ไปได้เลยค่ะ

เริ่มจากพระเอกของเรา “โรบินฮู้ด” หรือ “Lord Robin of Loxley” ที่เกิดในตระกูลผู้ดีอังกฤษในเมืองน็อตติ้งแฮม ก่อนจะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามครูเสด พอกลับมาปราสาทก็ถูกยึด แฟนสาวก็ไปมีแฟนใหม่ เรียกได้ว่าชีวิตบัดซบเลยทีเดียว

และเขาก็ยังพบอีกว่าเมืองของเขาถูกคนชั่วยึดครอง เขาจึงจับมือกับเพื่อนที่เจอตอนไปสงคราม ฝึกฝนตนเอง เพื่อไปช่วยคนอื่นที่เดือดร้อน ปล้นจากคนรวยเพื่อไปช่วยคนจน (ตามคอนเซ็ปต์ของโรบินฮู้ด)

อย่างที่บอกว่าโรบินฮู้ดครั้งนี้ไม่เหมือนฉบับก่อนๆ เพราะหนังได้ถูกปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น บทหนังก็จะพูดถึงเรื่องของศาสนา เรื่องความขัดแย้ง เรื่องกบฏ เรื่องการปฏิวัติ เป็นต้น ซึ่งทำให้หนังมีความลึกของเนื้อหามากขึ้น ซึ่งก็อาจจะทำให้บางคนดูแล้วเข้าใจยากขึ้น อาจจะนำไปสู่ความเบื่อได้

และนอกจากนี้หนังเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นหนังที่บู๊ล้างระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันพอสมควร ยิงธนุกันอย่างกับรัวปืนกล นอกจากนี้ยังมีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกมาทำให้ดูสมจริงมากขึ้น ซึ่งถือว่างานดีเลยทีเดียวค่ะ

สิ่งที่น่าสนใจนอกจากบทของหนังแล้ว “เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย” ก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะโรบินฮู้ดเวอร์ชั่นนี้ได้ปรับการแต่งกายให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้น แต่ก็ยังคงอยู่ในความเป็นอดีตอยู่ ซึ่งอีโมว่ามันดูล้ำไปในอนาคตเสียด้วยซ้ำ นึกไปถึงเครื่องแต่งกายในหนังเรื่อง “สตาร์วอร์ส” ที่ดูล้ำๆ แต่มีที่มาจากเครื่องแต่งกายโบราณ ที่ดูแล้วไม่นึกถึงว่าเป็นเรื่องเล่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนเลยค่ะ

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพูดถึงก็คือลีลาการยิงธนูของพระเอกของเรา “Taron Egerton” เขาลงทุนไปฝึกการยิงธนูอย่างจริงจังกับ “Lars Andersen” เทพแห่งศาสตร์การยิงธนู ที่ยิงได้ทุกอิริยาบท ไม่ว่าจะนั่ง จะยืน จะกระโดด จะยิง 3 ลูกติดกันใน 1 วินาทีหรือ ยิงธนูลูกโค้ง เพื่อให้ตนเองมีฝีมือการยิงธนูที่เก่งกาจสมกับเป็นโรบินฮู้ดจริงๆ

ตอนดูในหนังอีโมนึกถึง “Hawkeye” ซูปเปอร์ฮีโร่เลยค่ะ คนอะไรจะยิงแม่นยิงเร็วขนาดนั้น แอบเผลอนึกไปว่านี่โรบินฮู้ดเป็นซูปเปอร์ฮีโร่ไปซะแล้ว

สรุปว่า “โรบินฮู้ด” เวอร์ชั่นนี้ต้องไม่พลาดนะคะ สมควรไปดูเป็นอย่างยิ่ง รับรองไม่เสียดายค่าตั๋วแน่นอนค่ะ เอาคะแนนไป 8/10 เลยค่ะ ติดตรงเนื้อเรื่องบางส่วน เพราะมีเวิ่นเว้อเล็กน้อย เพื่อปูเรื่องไปสู่ภาคต่อไปในปี 2020

อีโมชั่น