เดินหน้าสู่ประชาธิปไตย แม้ “ครึ่งใบ” ก็ดีกว่า “ศูนย์”

มาถึงวันนี้ประเทศไทยของเรากำลังอยู่ในโหมดที่กำลังจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งตามโรดแม็ปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.เคยให้สัญญาไว้

เมื่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ เป็นพระราชบัญญัติโดยสมบูรณ์ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันพุธที่แล้ว อันจะมีผลบังคับใช้ตามเงื่อนเวลาที่ระบุไว้ใน พ.ร.ป.นั้นๆ

โดย พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภามีผลในวันที่ 12 กันยายน ส่วน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 ธันวาคม 2561 อันเป็นวันครบกำหนด 90 วัน ตามที่ พ.ร.ป.กำหนดไว้

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. ก็ลงนาม ใน ม.44 คลายล็อก เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ได้ก่อนเวลา 90 วัน ที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง จะมีผลบังคับใช้

ทำให้คาดหมายกันว่า น่าจะมีเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 อันเป็นวันที่ได้รับการกำหนดไว้ตามโรดแม็ปและได้มีการอ้างอิงกล่าวถึงจากทุกๆ ฝ่ายมาตั้งแต่ต้น

หากจะยืดออกไปหลังจากนั้นก็สามารถทำได้ แต่จะต้องไม่เกินวันที่ 5 พฤษภาคม 2562 ตามกรอบ 150 วัน ที่ พ.ร.ป.กำหนดไว้

ก็ต้องถือว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยและคนไทยที่จะได้เวลาเลี้ยวรถยูเทิร์นกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยกันอีกครั้งหนึ่ง

แม้จะเป็นเพียงประชาธิปไตยครึ่งใบ เพราะยังมิได้คืนอำนาจมาให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจที่จะเลือกใครมาเป็นผู้บริหารประเทศได้โดยตรงร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนในอดีต

แต่ก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของประเทศได้มากพอสมควร ดังที่เรียกกันว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ที่การเลือกตั้งมักจบลงด้วยหัวหน้าคณะรัฐบาลมาจากคนนอกที่มีการหมายตากันไว้

จะทำอย่างไรได้ล่ะครับ ได้คืนกลับมาเท่านี้ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะหากมองย้อนหลังกลับไป ก็จะต้องโทษพวกเรานี่แหละที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยกันอย่างเกินขอบเขต จนนำไปสู่การเผชิญหน้า การใช้กำลัง อันจะเป็นผลให้เกิดความกลียุคต่างๆ

เป็นที่มาของการปฏิวัติรัฐประหาร ที่ทำให้ประเทศไทยเราต้องถอยหลังเข้าคลองทางการเมืองไปเกือบ 5 ปีเต็มๆ หากเลือกตั้งได้ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าดังที่เป็นข่าวข้างต้น

ผมถึงได้มีความเห็นว่าได้กลับคืนมาครึ่งใบนี่ก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเสียเลย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “ประชาธิปไตยศูนย์ใบ” ที่เราเป็นกันมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557

ขอให้พวกเราช่วยกันปกปักรักษาและทะนุถนอมประชาธิปไตยครึ่งใบที่ว่านี้เอาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้นะครับ อย่าให้มีอะไรมาทำให้ต้องหมุนกลับไปสู่ระบบศูนย์ใบอีกก็แล้วกัน

ผมยังมั่นใจว่าหากคนไทยเราช่วยกันประคองช่วยกันดูแลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเดินหน้าไปด้วยดี อีกไม่นานนักเราก็คงจะได้ประชาธิปไตยเต็มใบ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม…ก็ยังมีความวิตกกังวลกันอยู่พอสมควรว่าอนาคตประชาธิปไตยจะไม่ค่อยสดใสนัก เพราะยังมีนักการเมืองรุ่นเก่าที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายครั้งที่แล้วอยู่กว่าครึ่ง

ยังมีความคิดเก่าๆ พูดจากสไตล์เก่าๆ เสียดสีกันไปเสียดสีกันมาอยู่ตลอดเวลาจนอดห่วงเสียมิได้ว่า เราจะรักษาประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่เรากำลังจะได้กลับมาเร็วๆ นี้ไปอีกนานเท่าใด?

แต่ก็เอาเถอะครับ พระท่านสอนว่าให้เราอยู่กับปัจจุบัน และอย่าไปห่วงหาอะไรนักหนากับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ขอให้เราทำปัจจุบันให้ดีที่สุดและอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุขที่สุด

ดังนั้น เมื่อปัจจุบันของเรา เปี่ยมไปด้วยความหวังต่างๆ เนื่องในโอกาสที่เราจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ผมก็ขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีและจบข้อเขียนวันนี้ด้วยการเปล่งเสียงไชโย! รวม 3 ครั้ง ตามธรรมเนียมไทยส่งท้ายคอลัมน์ก็แล้วกันครับ ไชโย! ไชโย! ไชโย!

“ซูม”