รำพึงรำพันวันได้ยินข่าว จะมีเลือกตั้งเดือน ก.พ. 62

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวว่าบิ๊กตู่ยืนยันกำหนดเลือกตั้งยังอยู่ที่เดือนกุมภาพันธ์ 2562

ผมอ่านหัวข่าวโดยไม่ได้อ่านในรายละเอียด แต่นับวันเวลาดูแล้วก็อีก 6-7 เดือนเอง…รู้สึกดีใจจนต้องหยิบปากกามานั่งเขียนอะไรเอาไว้บางอย่าง ดังต่อไปนี้

โดยส่วนตัว ผมมีความเชื่อมาตลอดตั้งแต่เล็กมาจนโตว่า คนไทยเรา ไม่มีนิสัยเผด็จการ ไม่ชอบการปกครองในระบอบเผด็จการ แม้ประเทศของเราจะถูกบังคับให้เข้าสู่ระบอบเผด็จการครั้งแล้วครั้งเล่า ก็สืบเนื่องมาจากความจำเป็นทั้งสิ้น

จำเป็นเพราะถ้าไม่มีระบอบเผด็จการเข้ามา เราก็จะทะเลาะกันไม่หยุด จะบานปลายไปถึงขั้นจลาจลวุ่นวายแบบคุมไม่อยู่

ก็ต้องหยุดประชาธิปไตยไว้ชั่วขณะ หันไปใช้ระบอบเผด็จการกันสักพัก เพื่อควบคุมประเทศให้อยู่กับร่องกับรอย อยู่ในความสงบ เพื่อเตรียมตัวในการเดินหน้าต่อไป

ผู้ที่เข้ามายึดอำนาจจึงกล่าวเสมอๆ ว่า ท่านเป็นเผด็จการจำเป็น

ชาวโลกทั้งหลายอย่ารังเกียจท่านเลย พี่น้องประชาชนชาวไทยเอง ก็อย่าห่วงอย่าวิตกไปเลย ขอเวลาให้ท่านอีกไม่นานนัก เมื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เรียบร้อย ท่านจะคืนอำนาจให้แก่ประชาชนอีกครั้ง ผ่านระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนปรารถนา

ในการปฏิวัติรัฐประหาร ล่าสุดท่านก็ใช้เหตุผลในทำนองนี้

ท่านขอเวลาที่จะเตรียมการปฏิรูปประเทศมาระยะหนึ่ง และบัดนี้ก็ดูเหมือนว่าการตระเตรียมใกล้สิ้นสุดลง จึงเริ่มมีข่าวคราวและกลิ่นอายของการเลือกตั้งโชยมา

ตามโรดแม็ปล่าสุดที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า จะเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 และจากพาดหัวข่าวล่าสุดของล่าสุด ก็ดูเหมือนท่านจะยังยืนยันอยู่ที่กำหนดเวลาดังกล่าวนี้

ประสาคนรักประชาธิปไตย และถ้าเป็นไปได้ก็อยากเห็นประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เมื่อได้ยินว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปตามกำหนดก็อดดีใจเสียมิได้

ท่านผู้อ่านคงจำได้ ผมเคยเขียนเอาไว้บ้างแล้วว่า ในฐานะคนเรียนเศรษฐศาสตร์ที่ถูกสอนให้มองผลลัพธ์ของการพัฒนาเป็นหลัก หากการปกครองในระบอบใด (แม้แต่เผด็จการ) จะทำให้คนไทยส่วนใหญ่อยู่ดีมีสุขมีรายได้ดีขึ้น มีบริการทางสังคมดีขึ้น แม้จะเป็นการปกครองที่ผมไม่รัก ไม่ชอบเลยแต่ก็จะทำใจยอมรับ

ขอเพียงว่าเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมก็ค่อยๆ คืนระบอบประชาธิปไตยมาให้คนไทยก็แล้วกัน

ที่ผมคิดอย่างนี้เชื่ออย่างนี้ก็เพราะนึกไปถึงบรมครูทางเศรษฐศาสตร์รุ่นเก่าที่เคยเป็น “ไอดอล” ของนักเศรษฐศาสตร์รุ่นหลังๆ อย่างท่าน อาจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ม.ล.เดช สนิทวงศ์, ท่านสุนทร หงส์ลดารมภ์, ท่านฉลอง ปึงตระกูล, ท่านสุภาพ ยศสุนทร ฯลฯ ที่ผมเชื่อว่าท่านรักและเทิดทูนระบอบประชาธิปไตยเป็นที่สุด

แต่ท่านก็ยังไปทำงานให้แก่ระบอบเผด็จการ เพื่อให้มีการพัฒนาประเทศชาติ จนเป็นที่มาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2504

ดังนั้น เมื่อมาถึงยุคของคนรุ่นผม…ส่วนใหญ่จึงไม่รังเกียจที่จะไปทำงานให้นักเผด็จการหลายๆ ท่าน เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง…ผมเองก็เคยทำงานทั้งในระบอบเผด็จการเต็มใบและครึ่งใบ

ล่าสุดนี้แม้ผมจะถอยตัวออกจากวงการแล้ว…แต่ก็ยังเขียนให้กำลังใจนักวิชาการและคนมีชื่อเสียงที่มีหัวใจเป็นประชาธิปไตยจำนวนไม่น้อยที่ไปช่วยรัฐบาลที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา

มาบัดนี้ได้ยินท่านที่เป็นเผด็จการโดยจำเป็น ท่านบอกว่าพร้อมจะคืนระบอบประชาธิปไตยให้แล้ว แม้จะคืนมาอย่างกั๊กๆ ก็ช่างเถอะ แต่ผมก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก

ว่าแต่พวกเราเหอะ ถ้าจะรับระบอบประชาธิปไตยกลับมาด้วยท่าทีอย่างที่เริ่มแสดงออกในช่วงนี้ (คือยังทะเลาะกันอยู่เหมือนเดิม ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเหมือนเดิมและอีก ฯลฯ ที่เหมือนเดิม) จะไปรอดไหมล่ะเนี่ย?

สักวันหนึ่งก็คงจะมีคนมาอ้างความจำเป็นใช้ระบอบเผด็จการมาช่วงชิงประชาธิปไตยไปอีกจนได้หรอก

เมื่อไรหนอเราจึงจะสามารถพัฒนาประเทศของเราด้วยระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องให้ใครมาอ้างความจำเป็นของเผด็จการเพื่อพัฒนาประเทศกันได้อีกต่อไป?.

“ซูม”