อนิจจา! วิชาเศรษฐศาสตร์ จาก “ยอดนิยม” ถึง “เสื่อมนิยม”

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับว่า เด็กรุ่นใหม่เลือกเรียนคณะเศรษฐศาสตร์น้อยลง ส่งผลให้มหาวิทยาลัยบางแห่งโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชนได้ทยอยกันปิดการเรียนการสอนหรือยุบคณะเศรษฐศาสตร์กันไปบ้างแล้ว

ผมในฐานะคนที่ร่ำเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์มากับเขาด้วยคนหนึ่ง รวมทั้งเคยใช้วิชาเศรษฐศาสตร์ทำมาหาเลี้ยงชีพเป็นเวลากว่า 30 ปี อ่านข่าวแล้วก็อดใจหายเสียมิได้

นึกไม่ถึงว่าวิชาที่ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเคยฮิต เคยเป็นที่นิยมพอสมควรของเด็กหนุ่มเด็กสาวที่จะเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย จะกลายเป็นวิชาตกรุ่นถึงขั้นมีการทยอยยุบคณะในมหาวิทยาลัยบางแห่งในขณะนี้

แต่มาคิดอีกทีก็ทำใจได้ เมื่อนึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ไม่มีอะไรยืนยงอย่างถาวร เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นธรรมดาของโลก

ในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เองก็พูดถึงการถดถอยลง หรือการเสื่อมลงของอรรถประโยชน์ในข้าวของ หรือสินค้าเครื่องใช้อุปโภคบริโภคต่างๆ ว่าเมื่อความพึงใจในการใช้ถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็จะค่อยๆ ถดถอยลง

วิชาเศรษฐศาสตร์ก็เปรียบเสมือนข้าวของเครื่องใช้ หรือเป็นสรรพสิ่งอย่างหนึ่งเหมือนกัน เมื่อถึงวันถึงเวลาก็อาจเข้าสู่ภาวะอรรถประโยชน์ถดถอย เสื่อมยศ เสื่อมลาภ เสื่อมจำนวนคนเรียน จนถึงขั้นปิดคณะได้ดังกล่าว

ถ้าจะว่าไปแล้ว ผมเองก็ไม่รู้จักวิชานี้มาก่อน และตอนที่ผมจบ ม.8 จากโรงเรียน เตรียมอุดมศึกษา เมื่อต้นปี 2503 จะเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยปีนั้น ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีคณะนี้สอนอยู่ในประเทศ

เพราะผมก็เหมือนนักเรียนเตรียมอุดมส่วนใหญ่ที่ใฝ่ฝันจะเรียนแพทย์ เรียนวิศวะ ผมเองก็สอบทั้งเตรียมแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเปิดเป็นรุ่น 2 ในปีนั้น กับสอบเข้าวิทยาศาสตร์จุฬาฯ ซึ่งเป็นฐานของการข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปเรียนแพทย์ต่อที่ ศิริราช หรือข้ามถนนอังรีดูนังต์ ไปเรียนแพทย์ต่อที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ

เผอิญว่าผมรู้สึกเฉลียวใจว่า ช่วงปลายๆ ปีผมยุ่งกิจกรรมมากไป แถมยังไปสมัครเป็นบ๋อยที่เวทีลีลาศสวนลุมพินี มีรายได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์ สัปดาห์ละ 2 วัน บวกค่าทิปเดือนละเป็นพันบาท รวยกว่าข้าราชการชั้นตรีเสียอีก ก็เลยเที่ยวเตร่มากขึ้น ทำให้การเรียนย่อหย่อนลง

วันหนึ่งพวกเรานักเรียนเตรียมอุดมที่ตั้งใจไว้เลยว่าจะเรียนกฎหมายเท่านั้น และต้องกฎหมายที่ธรรมศาสตร์เท่านั้น ชวนกันขึ้นรถเมล์สาย 25 ที่ผ่านหน้าโรงเรียนเตรียมอุดมไปที่ท่าช้าง และเดินต่อไปท่าพระจันทร์

เพื่อสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เพิ่งจะประกาศปิดตลาดวิชา จากที่ใครๆ ก็สมัครเรียนได้ในยุคก่อน มาเป็นต้อง “สอบเข้า” หรือ “เอ็นทรานซ์” ในยุคพวกผมจบ ม.8 พอดิบพอดี

ผมซึ่งหวั่นใจว่าจะเข้าเตรียมแพทย์เชียงใหม่ หรือเข้าวิทยาศาสตร์จุฬาฯ ไม่ได้ เพราะเรียนย่อหย่อนลง ก็ขอตามไปด้วย และขอสอบด้วยคนเพื่อให้มีที่เรียน และก็ตั้งใจจะสอบเข้านิติศาสตร์ตามเพื่อนๆ กลุ่มนี้

ที่ไหนได้ ฟ้ากลับลิขิตให้ผมได้เจอเพื่อนรุ่นพี่จากนครสวรรค์ท่านหนึ่ง ที่หน้าประตูธรรมศาสตร์ด้านท่าพระจันทร์โดยบังเอิญ

ท่านถามผมว่ามาทำไม? เมื่อผมตอบว่าจะมาสมัครสอบเข้าธรรมศาสตร์ ตั้งใจจะสอบนิติศาสตร์ตามเพื่อนๆ…ท่านก็บอกว่า เรียน เศรษฐศาสตร์ ดีกว่า สอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์เลย จบแล้วหางานง่าย (ฉิบหาย) แล้วก็ไปนอกง่าย (ฉิบหาย) ทุนเป็นกะตั้กเลยว่ะ

“ยุคนี้เป็นยุคพัฒนาประเทศโว้ย บ้านเรากำลังจะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504-2509) ใครๆ ก็ต้องการนักเศรษฐศาสตร์”

ผมจึงตัดสินใจสอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ ตามคำชวนของเพื่อนรุ่นพี่ และก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีการประกาศผลแพทย์เชียงใหม่กับวิทยาศาสตร์จุฬาฯ แล้ว ปรากฏว่าผมไม่ติดทั้งคู่

แต่สอบได้ที่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ได้ชื่อว่าเป็นเด็กสอบเข้ารุ่นแรก พ.ศ.2503 และหลังจากนั้นก็เรียนบ้างเล่นบ้าง จบได้ใน 4 ปี

ได้งานทำทันทีที่ สำนักงานสถิติแห่งชาติ เพียงวันแรกที่เรียนจบ ต่อมาโยกย้ายไปอยู่ที่ สภาพัฒน์ และอีกเพียง 2 ปีก็สอบชิงทุนได้ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาสมดังที่เพื่อนรุ่นพี่โฆษณาเชิญชวนผมไว้

เพื่อนรุ่นพี่จากนครสวรรค์ท่านนี้ชื่อ สถาพร กวิตานนท์ ครับ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ที่โด่งดังมากที่สุดตั้งแต่มีการก่อตั้งบีโอไอเป็นต้นมา!

(อ่านต่อพรุ่งนี้)

“ซูม”