จงเป็น “สฤษดิ์” ครึ่งแรก อย่าเป็น “สฤษดิ์” ครึ่งหลัง

ในระหว่างที่ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางไปเยือนอังกฤษและฝรั่งเศสนั้น นิตยสารไทม์ ฉบับเอเชีย ได้นำรูปภาพของท่านขึ้นหน้าปกพร้อมกับพาดหัวเกี่ยวกับบทบาทของท่านในการเลือกทางเดินระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ

โดยมีเนื้อหาและการวิเคราะห์วิจารณ์เกี่ยวกับการเมืองของประเทศไทยอย่างละเอียด พร้อมด้วยบทสัมภาษณ์ความคิดความเห็นของ พล.อ.ประยุทธ์

มีอยู่ช่วงหนึ่งนิตยสารไทม์ได้เปรียบเทียบท่านกับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยตั้งฉายาให้ท่านว่า “สฤษดิ์น้อย” หรือ Little Sarit กลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ของหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย

กระทรวงการต่างประเทศไทยแจ้งว่า นิตยสารไทม์จงใจป้ายสีที่นำไปเทียบจอมพลสฤษดิ์และจะต้องชี้แจงทำความเข้าใจกันต่อไป

ข้อความทั้งหมดข้างต้นนี้ ผมสรุปมาจากข่าวหนังสือพิมพ์บ้านเรา โดยมิได้กลับไปอ่านรายละเอียดในนิตยสารไทม์แต่อย่างใด

ที่ไม่อ่านเพราะผมไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังมีนิตยสารไทม์ ฉบับเอเชีย ฉบับกระดาษ หรือฉบับพิมพ์ออกวางตลาดหรือไม่ เพราะไม่เห็นในแผงมานานแล้ว และที่สำคัญ…ผมไม่คิดว่านิตยสารฉบับนี้จะทรงอิทธิพลเหมือนในสมัยก่อน

แต่ก็เอาเถอะ หากกระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจง หรือจะทำความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับประเด็น “Little Sarit” ผมก็คงไม่ขัดข้อง

สำหรับตัวผมเองเติบโตมากับยุคจอมพลสฤษดิ์ ได้พบ ได้เห็น ได้สัมผัส ได้รับรู้ นับตั้งแต่วันท่านเข้าสู่อำนาจ จนถึงวันที่ท่านสิ้นสุดอำนาจ เพราะถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งเมื่อปี 2506

ในความเห็นของคนรุ่นผมส่วนใหญ่น่าจะเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ชื่นชมท่าน โดยเฉพาะผลงานในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งผู้นำ

จอมพลสฤษดิ์เป็นผู้ริเริ่ม “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1 พ.ศ.2504–2509” สร้างเขื่อน สร้างถนนหนทาง การพัฒนาไฟฟ้า ประปาสาธารณูปโภค สาธารณูปการทุกชนิดทั่วประเทศ

ตั้งบีโอไอ ตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตั้งธนาคารทหารไทย ตั้งสำนักงบประมาณ เนรมิตขอนแก่นให้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาภาคอีสาน และ ฯลฯ

มีนักเศรษฐศาสตร์ไทยที่มีชื่อเสียงไปเป็นคณะกรรมการและคณะทำงานในการพัฒนาเศรษฐกิจนับสิบนับร้อย รวมถึง ม.ล.เดช สนิทวงศ์, ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ฉลอง ปึงตระกูล, สุภาพ ยศสุนทร ฯลฯ

ความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจตามแผน 1 ด้วยอัตราความเติบโตเฉลี่ยเกินร้อยละ 7 ต่อปี ยังเป็นที่โจษขานจนถึงบัดนี้

นี่ยังมิได้รวมผลงานด้านสังคม โดยเฉพาะการปราบอาชญากรรม การยกเลิกโรงฝิ่น และการปราบปรามผู้กว้างขวาง หรือนักเลงหัวไม้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน นำความชื่นชมมาสู่คนไทยในยุคนั้นอย่างท่วมท้น

แต่เมื่ออยู่ไปนานๆ ผลงานอันไม่น่าชื่นชมก็เกิดขึ้น ไม่มีใครรู้เรื่องเลยจนกระทั่งท่านถึงแก่อสัญกรรม แล้วมีการฟ้องร้องเรื่องมรดกในระหว่างครอบครัวเป็นเงินหลายพันล้านบาท

เป็นที่มาของการตรวจสอบและพบว่าท่าน “คอร์รัปชัน” และตั้งกรรมการยึดทรัพย์ และนักเศรษฐศาสตร์เอกที่เป็นผู้หนึ่งในขบวนการวางแผนเศรษฐกิจให้แก่ท่านนั่นแหละครับ ที่มาเป็นประธานยึดทรัพย์… ได้แก่ ท่านอาจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์

อีกไม่นานต่อมาก็มีการเปิดโปง “วิมานสีชมพู” และเปิดเผยภรรยาน้อยของท่านวันละคน 2 คน แข่งกันขึ้นหัวหน้า 1 หนังสือพิมพ์

ผมถึงได้บอกว่า การตั้งฉายาให้พลเอกประยุทธ์เป็น “สฤษดิ์น้อย” ก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอก ถ้าเป็น “สฤษดิ์” ในภาคแรก หรือครึ่งแรก ซึ่งมีผลงานและการริเริ่มต่างๆ อเนกอนันต์

อย่าเป็น “สฤษดิ์” ในภาคสอง หรือครึ่งหลังก็แล้วกันครับ

ซึ่งผมคิดว่ามาถึงบัดนี้ ท่านนายกฯประยุทธ์ยังรักษาตัวได้ดี ไม่มีเรื่องคอร์รัปชันให้ได้กลิ่นแต่อย่างใด…รวมทั้งเรื่อง “อนุภรรยา” ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะความรักเดียวใจเดียวกับศรีภรรยาของท่านอย่างที่เราเห็น

แต่กระนั้นผมก็ยังเห็นว่า ท่านน่าจะจัดเลือกตั้งให้ได้ตามโรดแม็ปและถ้าจะเป็นต่อก็อย่านานนัก รีบลงจากหลังเสือให้เร็วที่สุด

ถึงการเป็นสฤษดิ์น้อยในภาคแรก หรือครึ่งแรกจะดีมาก แต่มักจะเป็นกันได้ไม่นาน นี่ท่านนายกฯประยุทธ์ก็เป็นมา 4 ปีแล้ว อยู่ไปนานๆจะเสี่ยงต่อการเป็นจอมพลสฤษดิ์ภาค 2 เอานะครับ.

“ซูม”