ปลาบปลื้ม 2 พี่น้องจับมือ เกาหลีเหนือ-ใต้สู่สันติภาพ

เมื่อวันศุกร์ที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ทั่วโลกต่างนำเสนอภาพประวัติศาสตร์การเดินข้ามแดนจากเกาหลีเหนือของประธานาธิบดี คิม จอง–อึน เข้าสู่เกาหลีใต้ เพื่อจับมือกับประธานาธิบดี มุน แจ–อิน แห่งเกาหลีใต้ และเดินพูดคุยเจรจาความเมืองกันอย่างสนิทสนมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประเทศทั้ง 2 ที่เคยเป็นประเทศเดียวกัน และถูกแบ่งแยกออกเป็นเหนือใต้โดยมหาอำนาจจนเกิดสงครามระหว่างกันเมื่อ พ.ศ.2493-2496 ที่ผู้นำเกาหลีเหนือเดินทางมาเกาหลีใต้

ผมเชื่อว่าภาพประวัติศาสตร์ภาพนี้จะนำมาซึ่งความปลื้มปีติยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ของคนทั่วโลกที่รักสันติ รังเกียจสงคราม และอยากเห็นมนุษย์ทั่วโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

รวมทั้งผมด้วยคนหนึ่งละครับ ในฐานะที่เติบโตมากับข่าวคราวความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศ…ตั้งแต่เด็กจนแก่ว่าอย่างนั้นเถิด

เพราะในช่วงที่มหาอำนาจ 2 ฝ่าย แบ่งเกาหลีออกเป็น 2 ประเทศโดยใช้เส้นขนาน 38 เป็นเส้นแบ่งนั้น ฝ่ายเหนืออยู่ในความดูแลของโซเวียตก็กลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ไปตามโซเวียต ในขณะที่ฝ่ายใต้อยู่ภายใต้การดูแลของสหรัฐอเมริกาก็ปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ต่อมาฝ่ายใต้หาว่าฝ่ายเหนือบุกลงมาก็ร้องต่อสหประชาชาติขอกำลังไปช่วยเหลือ เกิดสงครามเกาหลี โดยจีนเป็นผู้สนับสนุนเกาหลีเหนือ และสหรัฐฯในนามของสหประชาชาติสนับสนุนฝ่ายใต้ ระหว่างปี 2493 ถึงประมาณปี 2496 ดังกล่าว ค่อยเจรจาสงบศึก

ประเทศไทยของเราในฐานะสมาชิกสหประชาชาติได้ส่งกำลังรบไปช่วยเกาหลีใต้กับเขาด้วย มีกองกำลังทหารไทยที่เรียกว่า กองพันพยัคฆ์น้อย เป็นตัวแทนไปสู้รบกับเกาหลีเหนือ

เป็นข่าวหน้า 1 ทุกวันว่าทหารไทยรบเก่ง ได้ชัยชนะในหลายๆพื้นที่

ผมอายุประมาณ 9-10 ขวบ เพิ่งอ่านหนังสือแตกฉานใหม่ๆ จะไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ร้านกาแฟข้างบ้านและฟังสมาชิกสภากาแฟรุ่นปู่รุ่นพ่อนั่งวิพากษ์วิจารณ์ถึงสงครามเกาหลีไม่เว้นแต่ละวัน

ด้วยอิทธิพลของข่าวหน้า 1 ใน พ.ศ.นั้น คนไทยก็จะเชียร์เกาหลีใต้ รังเกียจเกาหลีเหนือ ประกอบกับสงครามเย็นเรื่องลัทธิกำลังแรง คนไทยได้รับการชี้นำว่าคอมมิวนิสต์เปรียบเหมือนยักษ์ เหมือนมารจะมาเขมือบเรา ก็เลยต่อต้านคอมมิวนิสต์ทั้งประเทศ และพลอยถือว่าเกาหลีเหนือซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์เป็นศัตรูไปด้วย

จนกระทั่งผมโตขึ้นมีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวของโลกมากขึ้น ได้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้ 2 ประเทศถูกแบ่งแยก ก็เกิดความรู้สึกสงสารเห็นใจและเข้าใจเกาหลีเหนือมากขึ้น

มีอยู่ช่วงหนึ่งได้มีโอกาสทำงานร่วมกับคนเกาหลีเหนือ เมื่อตอนที่ มูลนิธิไทยรัฐ โดยท่าน ผอ.กำพล วัชรพล เชื้อเชิญ กายกรรมเปียงยาง มาแสดงในบ้านเราเพื่อหารายได้เข้ามูลนิธิ พบว่าชาวเกาหลีเหนือทุกคนในคณะกายกรรมล้วนมีน้ำใจดีงาม รวมทั้งมีความเป็นมิตรกับคนไทย ไม่แตกต่างไปจากคนเกาหลีใต้เลย

ผมจึงเอาใจช่วยมาตลอด ขอให้เขารวมเป็นประเทศเดียวกันได้อีกครั้ง หรือหากจะยังรวมไม่ได้ ก็ขอให้เขาดีกัน เป็นมิตรกันตามประสาคนเชื้อชาติเผ่าพันธุ์เดียวกันในที่สุด แต่ก็ยังมีเหตุให้รวมกันไม่ได้ และทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ

ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์เกิดผันแปรไปในทางที่ดี เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้หันมาคุยกัน 2 ผู้นำข้ามแดนมาคุยกัน จนเกิดภาพอันน่าปลื้มปีติ และแถลงการณ์ที่จะนำไปสู่การปลอดนิวเคลียร์และสู่สันติภาพถาวรเกิดขึ้น

คนที่ลุ้นมา 60 กว่าปี ร่วมๆ 70 ปีอย่างผม อยากให้ 2 ประเทศนี้ดีกันซะที จึงอดมิได้ที่จะบังเกิดความอิ่มเอิบใจและเขียนต้นฉบับวันนี้ด้วยความสุขใจด้วยประการฉะนี้

จริงอยู่ เรื่องจริงที่เหมือนนิยายชีวิตอันยาวนาน ว่าด้วยคาบสมุทรเกาหลีคงจะยังไม่จบง่ายๆ โดยเฉพาะการเจรจาที่สำคัญยิ่งระหว่าง คิม จอง-อึน กับประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกายังรออยู่ อาจจะเกิดความผันแปรหรือเกิดดราม่าอะไรขึ้นได้อีกหลายๆประการ

แต่ ณ นาทีนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นนาทีแห่งความสุขละครับ ที่เห็นพี่น้องกลับมาจูงมือกัน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ หันมาพูดคุยกันฉันพี่ฉันน้อง และกำลังเดินไปสู่สันติภาพถาวร ขอให้ทุกสิ่งอย่างจบลงด้วยดีนะครับ!

“ซูม”