คนไทยกลับบ้านสงกรานต์ “โซ่ทอง” คล้องชนบทเมือง

ผมเขียนต้นฉบับวันนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 เมษายนครับ เหตุที่ต้องระบุเอาไว้ เพราะขณะที่ผมนั่งเขียนเป็นเวลาสายๆ ที่ผมเพิ่งกลับจากไปเดินออกกำลังที่สวนสาธารณะข้างบ้าน

ไม่อยากจะเชื่อเลยครับล่วงเข้าเดือนเมษายนมาถึง 8 วันแล้ว แต่วันนี้อุณหภูมิที่หมู่บ้านผมวัดได้ 22 องศาเซลเซียสเท่านั้น

เย็นฉ่ำเหมือนในฤดูหนาวบางวันเลยทีเดียว แถมยังเย็นกว่าอุณหภูมิในห้องแอร์ที่เรามักจะตั้งกันไว้ที่ 24-25 องศาเซลเซียสซะด้วยซ้ำ

ถ้าจะมองเป็นเรื่องผิดปกติของดินฟ้าอากาศ ก็คงจะมองได้ แต่ถ้ามองในแง่ดี นานๆจะได้ชื่นใจเจอความหนาวเย็นแทนที่จะร้อนตับแตกในเดือนนี้ซะที ก็คงต้องขอบคุณเทวดาเบื้องบนที่บันดาลให้

ขอบคุณเทวดาฟ้าดินเสร็จสรรพก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันที่ต้นฉบับของผมจะลงตีพิมพ์ก็คือ วันอังคารที่ 10 เมษายน อีกเพียง 3 วันเท่านั้นจะถึงวันสงกรานต์ ซึ่งคนไทยจะได้หยุดยาวถึง 4 วัน

จิตใจของคนไทยจำนวนมากคงล่องลอยไปสู่เทศกาลสงกรานต์กันเป็นส่วนใหญ่แล้วครับป่านนี้ อาจจะรู้สึกเนือยๆ เบื่อๆ ไม่อยากทำงาน หรือทำงานแบบไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไรนัก ใครที่เป็นนายจ้างคงจะต้องทำใจและให้อภัยล่วงหน้า

เพราะเทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคนไทย ยิ่งใหญ่เหมือนเทศกาลคริสต์มาสของฝรั่งอย่างไรอย่างนั้น

เป็นเทศกาลที่จะต้องกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมครอบครัวไปอยู่กับพ่อกับแม่กับปู่ย่าตายาย และกลับไปทำบุญสุนทาน

สำหรับหนุ่มๆสาวๆ ก็อยากจะกลับไปสนุกสนานเล่นน้ำสาดน้ำในวันสงกรานต์ที่บ้านเกิด ที่ผมเชื่อว่าจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนต่างจังหวัดไปตลอดชีวิต เพราะแต่ละตำบลแต่ละอำเภอแต่ละจังหวัด จะมีความสนุก มีเสน่ห์ และมีความประทับใจที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป

ในฐานะคนต่างจังหวัดผมจึงเข้าใจความรู้สึกของเด็กหนุ่มสาวที่มาจากต่างจังหวัด ที่คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน เพื่อจะไปเล่นสงกรานต์ที่บ้าน จนทำให้เกิดการเดินทางกลับบ้านอย่างใหญ่หลวง ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมานี้

แน่นอนในการเดินทางอย่างโกลาหลอลหม่านนั้น ย่อมจะมีอุบัติเหตุ ย่อมจะมีการเสียชีวิต และมีบาดเจ็บล้มตายเป็นข่าวใหญ่อยู่เสมอ

ผมจึงเห็นด้วยกับการรณรงค์ของหน่วยงานราชการต่างๆ รวมทั้ง มูลนิธิเมาไม่ขับ ที่ขอให้ผู้เดินทางจงระมัดระวัง อย่าดื่มเครื่องดองของเมา อย่าคึกคะนอง และเมาไม่ขับไม่ขี่ รวมทั้งง่วงก็อย่าขับอย่าขี่ ฯลฯ

ขอให้พ่อแม่พี่น้องที่จะเดินทางปฏิบัติตามคำขอร้องต่างๆด้วยนะครับ เพื่อให้เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุขโดยแท้จริง

ต้องกราบเรียนว่า ผมดีใจมากที่เห็นภาพการเดินทางของคนไทยเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเทศกาลสงกรานต์ หรือเทศกาลปีใหม่

ในฐานะที่เคยทำงานด้านการพัฒนาชนบทมาระยะเวลาหนึ่ง ยังจำได้ว่าในช่วงที่ผมทำงานด้านนี้ พี่น้องชาวชนบทอพยพหนีออกจากชนบทกันมากเหลือเกิน ทิ้งให้หมู่บ้านในชนบทหงอยเหงามีแต่คนแก่และเด็กๆ

พวกเราก็ห่วงกันว่าชนบทกับเมืองจะถูกตัดขาดจากกัน…ชนบทจะถูกทอดทิ้ง จะกลายเป็นพื้นที่ที่ล้าหลังมากยิ่งขึ้น

แต่กาลเวลากลับพิสูจน์ว่าคนไทยเราส่วนใหญ่ไม่ลืมบ้านเกิด แม้จะมีบ้างที่ลืม…ทว่าส่วนใหญ่ก็ยังมีเยื่อใยอย่างเหนียวแน่น

ยังไปมาหาสู่ ยังส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ยังส่งเงินกลับบ้าน ยังไปทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่าที่บ้าน

ทำให้ชนบทพลอยได้อานิสงส์จากการพัฒนา ซึ่งทำให้คนไทยอพยพขนานใหญ่ในอดีตไปด้วยพอสมควร มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากสภาพความเป็นอยู่ของพี่น้องชนบทในขณะนี้

ผมจึงอยากจะใช้ข้อเขียนวันนี้เขียนถึงนายจ้างทั้งหลายว่า ขอให้ทำใจและให้อภัยลูกน้องหรือคนงานของท่านที่อาจจะทำงานหย่อนประสิทธิภาพไปบ้าง เพราะจิตใจเหม่อลอยอยากกลับบ้านเต็มที หนึ่งปีมีแค่ 2 หน คือปีใหม่สากล กับปีใหม่ไทย ช่วยกันรักษาวัฒนธรรมว่าด้วยการ “กลับบ้าน” ให้ยั่งยืนสืบไปนะครับ

เพราะการกลับบ้านเท่านั้นที่จะเปรียบเสมือน “โซ่ทอง” ที่จะทำให้ชนบทกับเมืองไม่ถูกตัดขาดจากกันและยังคงเดินหน้าไปด้วยกัน

ขอบคุณพี่น้องชาวชนบททั้งหลายที่มาทำงานในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ต่างๆทั่วประเทศอีกครั้ง ที่ยังไม่ลืมบ้านเกิด ขอให้เดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพทุกๆ คนนะครับสงกรานต์นี้.

“ซูม”