ซาฟารีเวิลด์ 30 ปียังมีเสน่ห์

จำไม่ได้แล้วว่า ครั้งหลังสุดหัวหน้าทีมซอกแซกไปเดินเที่ยวและเดินดูสัตว์ต่างๆ ที่ “ซาฟารีเวิลด์” เมื่อไรแน่–จำได้แค่เพียงเลาๆว่า นานเหลือเกิน น่าจะนานเกือบ 30 ปีนั่นแหละครับ

ไปตั้งแต่ซาฟารีเวิลด์ สวนสัตว์เปิดแห่งแรกของประเทศไทย เปิดใหม่ๆเมื่อ พ.ศ.2530 หรือ 2531 อะไรโน่นแหละ…

เสร็จแล้วก็กลับมาเขียนเล่าสู่กันอ่านในคอลัมน์ซอกแซกยุคต้นๆ พร้อมกับเอาใจช่วย ขอให้สวนสัตว์เปิดแห่งนี้สามารถดำเนินกิจการได้ และอยู่เป็นแหล่งท่องเที่ยว+เรียนรู้สำหรับเด็กไทยไปอีกนานแสนนาน

ที่อวยชัยให้พรในทำนองนี้ก็เพราะลูกๆ หลานๆ ที่หัวหน้าทีมชักชวนไปเที่ยวด้วยครั้งกระโน้นต่างมีความสนุกและมีความสุขกลับมาเต็มเปี่ยม หลังจากได้ดูชมสัตว์ และการแสดงของสัตว์ เท่าที่มีอยู่ในซาฟารีเวิลด์ในยุคแรกตั้ง

จากนั้นหัวหน้าทีมซอกแซก ซึ่งแม้จะไม่มีโอกาสแวะกลับไปซาฟารีเวิลด์อีกเลย แต่ก็ติดตามข่าวคราวอยู่ตลอด บางครั้งก็แอบเอาใจช่วยลุ้นไปด้วย เมื่อมีข่าวว่า คุณผิน คิ้วคชา ผู้ก่อตั้ง ซาฟารีเวิลด์ แล้วไปก่อตั้ง แฟนตาซีเวิลด์ ที่ภูเก็ตอีกแห่ง ประสบปัญหาวิกฤติการเงินในช่วง “ต้มยำกุ้ง” เมื่อ พ.ศ.2540 กับเขาด้วย

แต่ด้วยความอุสาหวิริยะ ในที่สุดคุณผินก็เอาชนะวิกฤติได้สำเร็จ ทั้ง ซาฟารีเวิลด์ และ แฟนตาซีเวิลด์ ยังคงอยู่ยั่งยืนมาจนถึงบัดนี้ และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย ที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศถือเป็น “เป้าหมาย” ประการหนึ่งที่จะต้องแวะเยี่ยมชมเมื่อมาเยือน

หัวหน้าทีมซอกแซกเพิ่งมีโอกาสไปตระเวนชมซาฟารีเวิลด์เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เองครับ…ใช้เวลาตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึง 6 โมงเย็น เกือบ 8 ชั่วโมงเต็มๆ กลับถึงบ้าน แม้จะเมื่อยล้าจากการเดิน แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข

ซาฟารีเวิลด์ยุคใหม่ เขาแบ่งเป็น 3 โซน เริ่มจาก โซนแรก ที่เรียกว่า “ซาฟารีพาร์ค” หรือสวนสัตว์เปิด ปล่อยให้สัตว์ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ มีทั้ง ยีราฟ ม้าลาย นกกระจอกเทศ นกกระเรียน ไปจนถึงสัตว์ดุร้ายอย่างสิงโต และเสือโคร่ง

การเข้าชมในโซนนี้ จะต้องขับรถเข้าไป หรือไม่ก็นั่งบริการรถตู้ที่เขาจัดขึ้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับคนที่ตีตั๋วรวมเรียบร้อยแล้ว และระหว่างขับรถตระเวนดูชมไปเรื่อยๆนั้น เขาจะห้ามเปิดหน้าต่างรถยนต์อย่างเด็ดขาด รวมทั้งห้ามเปิดประตูเดินออกจากรถ เพราะอาจจะโดนสัตว์ดุร้ายเล่นงานเอาได้

นอกจากสัตว์ต่างๆที่มีมากมายเป็นฝูงๆ ชวนให้ตื่นตาตื่นใจแล้ว ขอแนะนำว่าควรจะไปถึงบริเวณนี้ก่อน 10 โมงเช้า เพราะจะเป็นช่วงเวลาให้อาหารสิงโต และเสือที่เขาจะให้เราจอดรถดูอย่างใกล้ชิด เห็นเจ้าป่า ทั้งเสือและสิงห์ยืนหมํ่าอยู่ไม่ไกลจากรถเรา

สำหรับโซนที่สองจะเป็นส่วนที่เรียกว่า มารีน ปาร์ค หรือสวนน้ำ มีสัตว์น้ำมาให้ดูชมมากมาย รวมทั้งการแสดงโชว์ของสิงโตทะเล และการแสดงของโลมา Dolphin Show ที่เป็นไฮไลต์สุดๆของซาฟารีเวิลด์

แม้จะได้ชื่อว่า สวนน้ำ แต่ก็มีการแสดงของสัตว์บกมาอยู่ในโซนนี้ด้วย เช่น การแสดงช้าง การแสดงของลิงอุรังอุตัง รวมไปถึงการแสดงชุดคาวบอยสตั้นท์ยิงกันเปรี้ยงปร้าง ตกหอคอยตกบ่อน้ำที่อยู่คู่กับซาฟารีเวิลด์มาตั้งแต่แรกเริ่ม

ที่นักท่องเที่ยวชื่นชมมาก ได้แก่ การแสดงช้าง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ช้างใช้งวงจับพู่กันวาดภาพ ซึ่งจะวาดเป็นกิ่งไม้มีดอกสวยงาม เสร็จแล้วก็เปิดขายภาพละ 500 บาท นักท่องเที่ยวแย่งกันซื้ออย่างเหลือเชื่อ

เรียกเสียงหัวเราะและความสุขได้มากที่สุดก็คือการแสดง “โชว์อุรังอุตังชกมวย” ที่จัดให้ลิงอุรังอุตังมาจับคู่ชกมวยบนเวที มีกรรมการห้าม มีพี่เลี้ยง มีคนดูรอบๆเวที ซึ่งแสดงโดยอุรังอุตังทั้งหมด

ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่จะชอบการแสดงชุดนี้มาก แต่ก็ควรทราบไว้ด้วยว่า เป็นการแสดงชุดที่ได้รับการประท้วงจากคนรักสัตว์มากที่สุด เพราะไม่ชอบใจที่นำอุรังอุตังซึ่งควรจะอยู่ในป่า มาเลี้ยงในกรงแล้วจับฝึกให้แสดงต่างๆ ล่าสุดในเว็บไซต์ที่ประท้วงการแสดงชุดนี้มีผู้เข้าชื่อแล้วถึง 16,000 ราย

โซนสุดท้าย หรือโซนที่ 3 เรียกว่า “จังเกิล วอล์ก” เป็นพื้นที่เปิดใหม่ สามารถเดินดูสัตว์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด รวมทั้งยังสามารถมุดลงไปในถ้ำที่มีเสือนอนอยู่บนศีรษะของเราควบคู่ไปกับระเบียงป้อนอาหารให้ฝูงยีราฟ ซึ่งเขาคุยว่าซาฟารีเวิลด์มีมากที่สุดในบรรดาสวนสัตว์ทั่วโลก

เท่าที่คาดคะเนด้วยสายตาเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วน่าจะมีนักท่องเที่ยวหมุนเวียนไปเที่ยวไม่ต่ำกว่า 5,000-6,000 คน และกว่าครึ่งหนึ่งจะเป็นนักท่องเที่ยวอินเดียที่จะปล่อยตัวสนุกสนานอย่างเต็มที่ เพราะจะมีการเปิดเพลงอินเดียให้เต้นด้วยระหว่างรอดูโชว์ต่างๆ

รองลงมาน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง โดยเฉพาะจากอิหร่านที่ชอบมาเที่ยวซาฟารีเวิลด์มากเป็นพิเศษ

นักท่องเที่ยวจีนไม่ค่อยมากเท่าไหร่นัก อาจจะเป็นเพราะค่าบริการที่นี่ไม่ใช่ทัวร์ศูนย์เหรียญเฉพาะค่าผ่านประตูก็ 680 บาท สำหรับผู้ใหญ่ และเด็ก 580 บาท ค่าป้อนอาหารสัตว์ก็ตัวละ 100 บาท 200 บาทขึ้นไป รวมทั้งค่าอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวก็สูงกว่าราคาข้างนอก น้ำเปล่าขวดละ 20 บาท ข้าวแกงราดกับอย่างเดียว จานละ 70 บาท

คนไทยเราเองก็ไม่มากเท่าที่คิด มีประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะซาฟารีเวิลด์อยู่ไกล ไปยากกว่าสวนสัตว์อื่นๆ และค่าผ่านประตูก็อยู่ในเกณฑ์สูงสำหรับคนไทยโดยทั่วๆไปดังที่กล่าวไว้แล้ว

แต่สำหรับท่านที่มีรายได้ปานกลาง และตั้งค่าใช้จ่ายว่าจะใช้เงินเฉลี่ยหัวละ 1,000 บาท เป็นค่าผ่านประตู ค่ากินอาหาร ค่าซื้ออาหารเลี้ยงสัตว์หรือซื้อโน่นซื้อนี้ สำหรับเด็กๆไปด้วยละก็ หัวหน้าทีมซอกแซกเห็นว่าคุ้มพอสมควรและน่าจะเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตและความทรงจำของเด็กๆ ไปอีกนานแสนนาน

ซาฟารีเวิลด์ อยู่ที่ 99 ถนนปัญญาอินทรา (ซอยรามอินทรา 109) แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กทม.–ไปตามถนนรามอินทราขาออกพอใกล้จะถึงแฟชั่นไอส์แลนด์ จะมีป้ายบอก แต่เข้าไปแล้วป้ายจะขาดๆ หายๆ ทางที่ดีเปิดกูเกิลแม็ปไปด้วยก็แล้วกัน.

“ซูม”