เศรษฐกิจดีแต่หุ้นร่วง บทเรียนจากเมืองลุงแซม

ผมนั่งเขียนต้นฉบับ วันนี้ในช่วงเวลาบ่ายๆ ของวันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ นะครับ ต้องขออนุญาตบอกวันบอกเวลาที่เขียนอีกครั้ง เพราะเรื่องที่จะเขียนวันนี้จะลงตีพิมพ์ในวันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราววันนี้อาจจะผันแปรไปในทางหนึ่งทางใดเรียบร้อยแล้ว

อาจจะดีขึ้นหรืออาจจะย่ำแย่ลงไปอีกก็เป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง

เรื่องราวข่าวคราวเกี่ยวกับตลาดหุ้นที่สหรัฐอเมริกานั่นแหละครับ ที่จู่ๆก็ร่วงกราวมาหลายวันติดกัน โดยเฉพาะวันที่ผมนั่งเขียนต้นฉบับ ร่วงอย่างหนักหน่วงมากทั้ง 3 ตลาด ในวันจันทร์ตามเวลาสหรัฐอเมริกาดาวโจนส์ร่วงหนักสุดๆ ถึง 1,175 จุด แนสแดคตลาดหุ้นไฮเทคร่วงไป 273 จุด และเอสแอนด์พี ก็ร่วงถึง 113 จุด

ก่อนหน้านี้ในวันศุกร์ก่อนหยุดพักเสาร์อาทิตย์ ดาวโจนส์ร่วงไปแล้ว 666 จุด แนสแดคร่วง 145 จุด และเอสแอนด์พีร่วง 60 จุด ซึ่งก็ถือว่าหนักพอสมควรอยู่แล้ว

นึกว่าวันอาทิตย์ ซึ่งมีการแข่งขันซุปเปอร์โบว์ล และทีมฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ หรือ “อินทรีมรกต” สามารถพลิกล็อกเอาชนะทีมนิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ “นักรบกู้ชาติ” ไปได้ถึง 41-33 แต้ม จะทำให้นักเล่นหุ้นอเมริกันมีความสุข ปลุกราคาหุ้นให้สูงกลับมาได้บ้าง

ที่ไหนได้กลับหนักกว่าเก่าเสียอีกในวันจันทร์ อย่างดาวโจนส์ 1,175 จุดนั้น ก็เป็นสถิติใหม่แย่กว่าสถิติเดิมที่หล่นวันเดียว 778 จุด ในวิกฤตกาลการเงิน เมื่อปี 2008 เสียด้วยซ้ำ

ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งๆที่มีรายงานว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกลับมาดีแล้ว ฟื้นตัวแล้ว การจ้างงานก็ดีมาก ทำให้อัตราว่างงานอยู่ที่ 4.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถือว่าว่างงานต่ำสุดในรอบ 17 ปี

มีการวิเคราะห์กันไว้ในหลายๆรูปแบบ เช่น บ้างก็ว่าเพราะการจ้างงานดีเกินไป ทำให้อัตราค่าจ้างโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มสูงขึ้น อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ และอาจนำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯเร็วกว่าที่คาดไว้

บ้างก็วิเคราะห์กฎหมายปฏิรูปภาษีของทรัมป์ ที่บอกว่าช่วยคนรวยมากกว่าคนจน และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุนก็จริง แต่อาจจะนำไปสู่ภาระหนี้ก้อนใหญ่มากของประเทศในอนาคต

บางก็ว่า หุ้นสหรัฐฯที่แล้วมาขึ้นสูงเกินเหตุไป สูงเกินความเป็นจริงมากไป ก็ย่อมจะต้องปรับตัวลดลงมาสู่ความเป็นจริงในที่สุด

แต่จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่เถอะ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นขณะนี้ก็คือ หุ้นสหรัฐฯร่วงกราวลงมาอย่างมาก เมื่อวันศุกร์และวันจันทร์ที่แล้วป่านฉะนี้ จะฟื้นขึ้นหรือยังก็ไม่ทราบ

เมื่อสหรัฐฯร่วง ที่อื่นก็พลอยร่วงตามรวมทั้งตลาดหุ้นบ้านเราก็ร่วงลงพอสมควรแม้จะไม่ถึงขึ้นกราวใหญ่อย่างของเขา (ขณะที่เขียน) ก็ตาม

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบที่โลกเรานี้มี “ตลาดหุ้น” แม้ในหลักการจะถือเป็นของดีว่าเป็นตลาดสำหรับการระดมทุน อันจะเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการหรือบริษัทห้างร้านต่างๆมีเงินทุนไปขยายกิจการ หรือพัฒนาธุรกิจการค้าของตนได้มากขึ้น

แต่พอเวลาผ่านไปทุกอย่างกลายเป็นเรื่องซับซ้อนและสับสนเรื่อยๆ ทำให้ตลาดหุ้นหลายๆแห่งเป็นแหล่งของการปั่นหุ้นการคาดการณ์การเก็งกำไร ฯลฯ สารพัดที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งเบี่ยงเบนจากความเป็นจริง และทำให้การบริหารการเงินการลงทุน ของแต่ละประเทศยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

ผมจึงไม่เล่นหุ้นและแม้จะไม่ขัดขวางการเล่นของคนอื่น แต่ก็จะเตือนสติอยู่เสมอว่าใครก็ตามที่จะเข้าไปเล่น ขอให้เล่นด้วยความระมัดระวังและจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ

อย่าไปเชื่อพวกที่เขียนหนังสือว่าเล่นหุ้นแล้วรวยเร็วเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้านในชั่วพริบตามากนัก

จริงๆแล้วคนที่ขาดทุนยับเยิน คนที่ติดคอยซื้อมาแล้วราคาตกต่ำจนขายไม่ได้ เจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสน่าจะมีมากกว่า แต่ไม่กล้าบอกหรือไม่ได้เขียนออกมาเป็นหนังสือเท่านั้น

ย้ำอีกครั้ง หากจะเล่นหุ้นขอให้ระมัดระวัง…ที่เขาเปรียบว่า นักเล่นหุ้นเหมือน “แมลงเม่า” ที่มักจะตายด้วยเปลวไฟนั้นยังเป็นความจริงอยู่เสมอครับ.

“ซูม”